“อนุสรณ์” แนะธปท.ปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ รับมือตลาดการเงินโลกผันผวน

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และอดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เสนอแนะว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ควรศึกษาความเป็นไปได้ของการปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ ให้สอดคล้องกับพลวัตทางเศรษฐกิจภายใน และรับมือความท้าทายความผันผวนของตลาดการเงินโลก และการเปลี่ยนแปลงใหญ่ของระบบการเงินโลกในอนาคต

“การปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยน และค่าเงินบาทให้เหมาะสม พร้อมเพิ่มปริมาณเงิน จะมีส่วนช่วยให้ GDP เติบโตเต็มศักยภาพ ซึ่งอาจทำให้อัตราการขยายทางเศรษฐกิจของไทย กลับมาโตได้ 4-5% โดยยังสามารถควบคุมให้อัตราเงินเฟ้อเป็นไปตามเป้าหมาย” นายอนุสรณ์ กล่าว

พร้อมระบุว่า มีความจำเป็นในการต้องปรับเปลี่ยนบทบาทแบงก์ชาติ และระบบการเงินแบบรวมศูนย์ มาเป็นการเงินดิจิทัลกระจายศูนย์มากขึ้น ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการเงิน ได้สร้างความไว้วางใจต่อระบบการเงินแบบกระจายศูนย์มากขึ้น เป็นการท้าทายระบบ Fiat Money ที่มีธนาคารกลางเป็นศูนย์กลาง ขณะเดียวกัน บรรดา Digital Currency มีผลกระทบต่อเสถียรภาพของราคาและนโยบายการเงิน หาก Digital Currency มีผลกระทบต่องบดุลของธนาคารกลางในด้านภาระหนี้สิน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุม ปริมาณเงิน ผ่าน Open Market Operation มีผลต่อความเร็วของเงิน (Velocity of Money) หรือมีผลต่อดัชนีราคา

เมื่อ Digital Currency และ Cryptocurrency มีการใช้แพร่หลายมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายทางการเงิน ผู้กำหนดนโยบายการเงินต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบรัดกุมว่า จะออกแบบกฎหมายเพื่อกำกับดูแล Digital Currency และ Cryptocurrency อย่างไร เพื่อลดความเสี่ยงผลกระทบเชิงลบต่อเสถียรภาพของสถาบันการเงิน และประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายของธนาคารกลาง ในการควบคุมปริมาณเงินและสภาพคล่อง รวมทั้งระดับราคา และอัตราเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจ

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ ด้วยเทคโนโลยี Blockchain จะทำให้บทบาทของธนาคารกลาง และธนาคารพาณิชย์เปลี่ยนไปจากเดิม ธุรกิจตัวกลางทางการเงินแบบธนาคารพาณิชย์ จะลดบทบาทลง บทบาทการเงินแบบเครือข่ายกระจายศูนย์ลักษณะ Peer to Peer จะเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางสามารถใช้เทคโนโลยี Distributed Ledger Technology มาสนับสนุนให้ระบบการเงินดิจิทัลมีประสิทธิภาพ และปลอดภัยมากขึ้น

“ขณะนี้ การชำระเงินระหว่างธนาคารด้วยกัน หรือกับแบงก์ชาติ ก็ใช้เทคโนโลยี DLT และสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) แต่การทำธุรกรรมยังจำกัดเฉพาะในกลุ่มธนาคาร ขอเสนอให้แบงก์ชาติ ศึกษาความเป็นไปได้ของการออกเงินดิจิทัล หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) ให้กับประชาชนโดยทั่วไป โดยให้ CBDC สามารถใช้จ่ายได้สะดวกเหมือนเงินสด เพียงแต่การถือ CBDC ดีกว่าการถือเงินสด โดยที่ผู้ถือสามารถรับดอกเบี้ยได้ด้วย การออก CBDC สำหรับประชาชนรายย่อย จะเพิ่มอำนาจให้ธนาคารกลางในการกำกับปริมาณเงินได้มากขึ้น” นายอนุสรณ์กล่าว

พร้อมเห็นว่า ระบบการเงินที่อาศัย Fiat Money และอาศัย Fractional Reserve Banking ที่ต้องมีการประกันเงินฝาก แบงก์ชาติต้องค้ำประกันไม่ให้ระบบธนาคารล้ม เป็น Lender of the Last Resort จะมีการปรับเปลี่ยนไปตามพลวัตของเทคโนโลยีทางการเงิน และ การออกแบบระบบการเงินใหม่ ทำให้ต้นทุนของการค้ำประกันระบบลดลง

องค์กรที่ให้บริการทางการเงิน อาจไม่ใช่มีเฉพาะสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมอีกต่อไป การที่ “แบงก์ชาติ” มีบทบาทเข้ามากำกับธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง ที่เป็นกลุ่ม Non-Bank จึงเป็นเรื่องที่จำเป็น เพื่อสามารถดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินได้ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดังนั้นจึงเสนอให้มีการปรับโครงสร้างองค์กรแบงก์ชาติ แยกภารกิจกำกับดูแลสถาบันการเงิน และภารกิจดำเนินนโยบายการเงินให้ชัดเจนขึ้น และเปลี่ยนจากการกำกับ “องค์กรสถาบันการเงิน” มากำกับ “กิจกรรมบริการทางการเงิน” มากขึ้น เพราะจะมีองค์กรจำนวนมากที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน แต่ให้บริการทางการเงินลักษณะใดลักษณะหนึ่ง รวมทั้งฟินเทคทั้งหลายด้วย

ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย ควรศึกษาเพื่อจัดระบบทุนสำรองระหว่างประเทศใหม่ ในการรับมือต่อความผันผวนรุนแรงของเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก การเสื่อมค่าลงของดอลลาร์ และการด้อยค่าลงของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของระบบการเงินโลก

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า หนี้สินเฉลี่ยของครัวเรือน โดยรวมอยู่ที่มากกว่า 600,000 บาทต่อครัวเรือน คิดเป็นสินเชื่อในระบบประมาณ 70% นอกระบบ 30% การกู้ยืมเงินส่วนใหญ่ อันดับแรกนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (เพื่ออุปโภคบริโภค) มาตรการทางการเงินของแบงก์ชาติ ต้องทำให้เกิดกระบวนการลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อจีดีพี (Debt Deleveraging) เป็นกระบวนการสำคัญที่จะช่วยลดความเปราะบางทางการเงินให้แก่ภาคครัวเรือน ท่ามกลางความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจภายนอก และภายในประเทศ

การลงทุนสร้างงาน สร้างรายได้จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า ยั่งยืนกว่าการกระตุ้นการบริโภค หรือการพักหนี้ ในกระบวนการ Debt Deleveraging มาตรการต้องมุ่งไปที่กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเปราะบาง กลุ่มครัวเรือนเปราะบาง ต้องออกแบบมาตรการให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ลูกหนี้ที่มีลักษณะปัญหาต่าง ๆ กัน

นอกจากนี้ อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย คือ ความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจส่งผลกระทบต่อการพิจารณาอนุมัติงบประมาณแผ่นดินปี พ.ศ. 2569 หากมีความล่าช้าเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับงบประมาณปี 2567 จนการใช้จ่ายลงทุนภาครัฐขยายตัวติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาสช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ย่อมส่งผลซ้ำเติมต่อภาวะเศรษฐกิจที่ต้องเจอแรงกดดันจากปัจจัยต่าง ๆ มากอยู่แล้ว

นอกจากนี้ การที่สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามอิสราเอลและอิหร่าน ย่อมนำไปสู่การขยายวงของสงครามในตะวันออกกลาง ส่งผลกระทบรุนแรงต่อราคาพลังงาน เศรษฐกิจโลก ที่อาจทำให้สถานการณ์โดยรวมของเศรษฐกิจโลกอ่อนแอลงไปอีก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 มิ.ย. 68)