น้ำมัน WTI ปิดลบ 14 เซนต์ กังวลสต็อกเชื้อเพลิงพุ่ง

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (16 ก.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากสต็อกเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งความวิตกกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง

  • ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.21% ปิดที่ 66.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 19 เซนต์ หรือ 0.28% ปิดที่ 68.52 ดอลลาร์/บาร์เรล

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล พุ่งขึ้น 4.2 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะลดลงเพียง 200,000 บาร์เรล

ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นสะท้อนให้เห็นถึงอุปสงค์เชื้อเพลิงที่อ่อนแอลงในสหรัฐฯ แม้ขณะนี้เป็นช่วงเวลาสูงสุดของฤดูการขับขี่ยานยนต์ในหน้าร้อนของสหรัฐฯ

ส่วนสต็อกน้ำมันดิบลดลง 3.9 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 552,000 บาร์เรล

ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่เก็บภาษีนำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) ในอัตรา 30% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ขณะที่เจ้าหน้าที่ EU ระบุว่า เป็นระดับที่ยอมรับไม่ได้ ส่งผลให้คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เตรียมออกมาตรการตอบโต้ โดยเล็งเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 72,000 ล้านยูโร (84,100 ล้านดอลลาร์) หากการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า

ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนในระดับหนึ่งจากรายงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่แนวโน้มโดยรวมไม่สดใสนัก เนื่องจากภาคธุรกิจรายงานว่าการที่รัฐบาลทรัมป์ปรับขึ้นภาษีศุลกากรกำลังทำให้แรงกดดันด้านราคาปรับตัวสูงขึ้น

ด้านนักวิเคราะห์ของ Barclays คาดการณ์ว่า ความต้องการใช้น้ำมันในจีนจะเพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล/วันในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แตะที่ระดับ 17.2 ล้านบาร์เรล/วัน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.ค. 68)