
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) หลังจากมีรายงานว่าบ่อน้ำมันในแคว้นเคอร์ดิสถานของอิรักถูกโดรนโจมตีเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงของอุปทานน้ำมันในภูมิภาคแห่งนี้
- ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.16 ดอลลาร์ หรือ 1.75% ปิดที่ 67.54 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1 ดอลลาร์ หรือ 1.46% ปิดที่ 69.52 ดอลลาร์/บาร์เรล
หน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายของแคว้นเคอร์ดิสถานของอิรักเปิดเผยว่า เกิดเหตุโดรนติดระเบิดพุ่งเข้าโจมตีบ่อน้ำมันหลายแห่งในเขตผู้ว่าการดะฮูก (Duhok) โดยโดรน 2 ลำโจมตีบ่อน้ำมันในพื้นที่เฟช คาบูร์ (Faysh Khabur) ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท DNO บริษัทน้ำมันสัญชาตินอร์เวย์ ส่วนโดรนอีกหนึ่งลำโจมตีบ่อน้ำมันอีกแห่งของบริษัท DNO ในพื้นที่ทาวเก (Tawke) และโดรนอีกหนึ่งลำโจมตีบ่อน้ำมันในพื้นที่บาดเดร (Baadre) ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทน้ำมันของสหรัฐฯ
เจ้าหน้าที่แคว้นเคอร์ดิสถานเชื่อว่า กลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านน่าจะเป็นผู้ก่อเหตุโจมตีบ่อน้ำมัน แม้ในขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างความรับผิดชอบก็ตาม
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้การผลิตน้ำมันในเคอร์ดิสถานลดลงประมาณ 140,000 – 150,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตปกติของเคอร์ดิสถานซึ่งอยู่ที่ 280,000 บาร์เรลต่อวัน
นักวิเคราะห์จากบริษัท Lipow Oil Associates กล่าวว่า ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเนื่องจากนักลงทุนมีปฏิกิริยาต่อข่าวการโจมตีบ่อน้ำมันในอิรัก ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าอุปทานน้ำมันมีความเปราะบางต่อการถูกโจมตีด้วยโดรน ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีขั้นต่ำ
นักลงทุนยังคงจับตาการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยล่าสุดทรัมป์กล่าวว่าเขาจะส่งจดหมายไปยังประเทศต่าง ๆ กว่า 150 ประเทศ เพื่อแจ้งอัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากประเทศเหล่านี้ โดยอัตราภาษีดังกล่าวอาจอยู่ที่ระดับ 10% หรือ 15%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ก.ค. 68)