ภาษีทรัมป์บีบอุตสาหกรรมช็อกโกแลตสหรัฐฯ ขณะแคนาดา-เม็กซิโกได้อานิสงส์

อุตสาหกรรมช็อกโกแลตของสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงกดดันจากนโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ ทว่ามาตรการนี้กลับสร้างภาระต้นทุนให้กับผู้ผลิตช็อกโกแลตในสหรัฐฯ โดยเฉพาะโกโก้ ซึ่งเป็นวัตถุดิบนำเข้าและมีราคาสูงอยู่แล้ว

ในขณะที่สหรัฐฯ ต้องเสียภาษีนำเข้าโกโก้ 10–25% และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 35% ในวันที่ 1 ส.ค. โรงงานในแคนาดาและเม็กซิโกกลับสามารถผลิตช็อกโกแลตด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า เนื่องจากภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี USMCA ทั้งสองประเทศสามารถส่งออกช็อกโกแลตไปยังสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ไม่ว่าต้นทางของโกโก้จะมาจากประเทศใดก็ตาม ขณะเดียวกัน แคนาดายังไม่เก็บภาษีนำเข้าโกโก้ดิบและกึ่งแปรรูป ส่วนเม็กซิโกก็สามารถปลูกโกโก้ได้ในประเทศ

ข้อมูลศุลกากรที่จัดทำโดย Trade Data Monitor (TDM) เปิดเผยว่า การส่งออกช็อกโกแลตจากแคนาดาไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 10% ในช่วง 5 เดือนจนถึงสิ้นเดือนพ.ค. สะท้อนว่าโรงงานแคนาดาบางแห่งกำลังใช้ประโยชน์จากภาวะภาษีใหม่นี้

บริษัทช็อกโกแลตรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง Hershey ซึ่งมีโรงงานทั้งในสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก ประเมินว่า หากอัตราภาษียังคงอยู่ บริษัทจะต้องจ่ายภาษีนำเข้าโกโก้มากถึง 100 ล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อย เช่น Taza Chocolate ในเมืองซอมเมอร์วิลล์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งผลิตช็อกโกแลตจากโกโก้นำเข้า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแบกรับภาษี เช่น ค่าภาษีนำเข้า 24,124 ดอลลาร์สำหรับตู้คอนเทนเนอร์โกโก้จากเฮติ และค่าธรรมเนียมศุลกากรกว่า 30,000 ดอลลาร์ สำหรับสินค้าจากสาธารณรัฐโดมินิกัน

อเล็กซ์ วิทมอร์ ผู้ก่อตั้ง Taza ระบุว่า สำหรับบริษัทขนาดเล็ก ภาษีเหล่านี้เท่ากับทำให้กำไรหายไปทั้งหมด แม้เคยพิจารณาย้ายการผลิตบางส่วนไปแคนาดาเพื่อใช้สิทธิพิเศษทางภาษีจาก USMCA แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกแผนเพราะต้องลงทุนสูงและใช้เวลานาน ประกอบกับความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ วิทมอร์กล่าวว่าตอนนี้บริษัทต้องพยายามประคองธุรกิจและหวังว่าสถานการณ์จะผ่านไปได้ เพราะเจ้าของกิจการหลายรายรู้สึกเหมือนกำลังโดนแช่แข็ง

บริษัทที่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้ ส่วนใหญ่เป็นโรงงานรับจ้างผลิตช็อกโกแลตในแคนาดาและเม็กซิโก หรือบริษัทข้ามชาติเช่น Barry Callebaut ซึ่งมีโรงงานในสองประเทศนี้เกือบครึ่งหนึ่งของโรงงานทั้งหมดในอเมริกาเหนือ โดยโรงงานเหล่านี้รับจ้างผลิตช็อกโกแลตดิบเพื่อส่งต่อให้โรงงานในสหรัฐฯ เติมส่วนผสมแล้วนำไปจำหน่ายภายใต้แบรนด์ช็อกโกแลตอเมริกัน

ปีเตอร์ เฟลด์ ซีอีโอของ Barry Callebaut ระบุในการแถลงผลประกอบการเมื่อเดือนก.ค. ว่า บริษัทสามารถบริหารจัดการสถานการณ์ด้านภาษีได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากมีโรงงานกระจายอยู่ทั้งในสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก

มาตรการภาษีเกิดขึ้นในช่วงที่อุตสาหกรรมช็อกโกแลตกำลังเผชิญยอดขายที่ซบเซา เนื่องจากผู้บริโภคต้องแบกรับราคาสินค้าที่สูงขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี โดยเฉพาะราคาช็อกโกแลตที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาของโกโก้ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าในช่วง 4 เดือนแรกของปีที่แล้ว และยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย เนื่องจากสภาพอากาศเลวร้ายและโรคระบาดในประเทศผู้ปลูกหลักอย่างโกตดิวัวร์และกานา

โกโก้คิดเป็นต้นทุนประมาณ 30–50% ของราคาช็อกโกแลตหนึ่งแท่ง ด้วยแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น Hershey จึงปรับขึ้นราคาสินค้าในหมวดลูกอม เช่น Reese’s อย่างมากตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา แม้ยืนยันว่าการปรับราคานี้ไม่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้า

Taza ก็ปรับขึ้นราคาขายส่ง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน และราคาขายปลีกบนเว็บไซต์ก็ปรับขึ้นจาก 5.99 ดอลลาร์ เป็น 6.99 ดอลลาร์เมื่อเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา โดยวิทมอร์ระบุว่าภาษีจะยิ่งทำให้ราคาขยับขึ้นอีก

Hershey เปิดเผยเมื่อเดือนพ.ค. ว่ากำลังหารือกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อขอรับการยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับโกโก้ ซึ่งไม่สามารถผลิตได้ในประเทศ แต่ปฏิเสธให้ความเห็นว่าบริษัทวางแผนพึ่งพาการนำเข้าจากโรงงานในแคนาดาหรือเม็กซิโกเพื่อช่วยลดผลกระทบจากต้นทุนภาษีหรือไม่

ด้าน Mars ผู้ผลิต M&M ซึ่งประกาศเมื่อต้นสัปดาห์ว่าจะลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ในภาคการผลิตของสหรัฐฯ ยังคงใช้โครงสร้างซัพพลายเชนเช่นเดิม โดย 94% ของสินค้าที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ผลิตภายในประเทศ ส่วน Lindt ระบุว่าจะตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงแหล่งวัตถุดิบหลังวันที่ 1 ส.ค.

พอล ควาดรินี ผู้อำนวยการสมาคมผู้ผลิตช็อกโกแลตและลูกกวาดเม็กซิโก Aschoco Confimex กล่าวว่า นโยบายภาษีของสหรัฐฯ กำลังสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับบริษัทเม็กซิกัน โดยระบุว่าความสนใจจากบริษัทอเมริกันที่ต้องการจ้างผลิตในเม็กซิโกเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ตลาดช็อกโกแลตของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าอยู่ที่ 2.5–3.0 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยแคนาดาซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับหนึ่งมีส่วนแบ่งประมาณ 10% ขณะที่เม็กซิโกซึ่งเป็นอันดับสองมีส่วนแบ่งอยู่ที่ราว 2.5%

ทาริค ฮัดฮัด ซีอีโอของ Peace by Chocolate ในโนวาสโกเชียกล่าวว่า นโยบายภาษีนี้ทำให้บริษัทในแคนาดาและสหรัฐฯ หันมาเลือกใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศของตนเองมากขึ้น แต่โรงงานรับจ้างผลิตในแคนาดากลับได้รับประโยชน์จากโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ค. 68)