
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดทรงตัวในวันศุกร์ (8 ส.ค.) ขณะที่ตลาดรอการพบปะกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้าระหว่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ แต่ราคาน้ำมันปรับลดลงมากที่สุดในรอบสัปดาห์นี้นับตั้งแต่ปลายเดือนมิ.ย. เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากภาษี
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ปิดทรงตัวที่ระดับ 63.88 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 16 เซนต์ หรือ 0.24% ปิดที่ 66.59 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 5.1% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ลดลง 4.4%
ในระหว่างวัน สัญญาน้ำมันดิบสหรัฐฯ ร่วงลงกว่า 1% หลังจาก Bloomberg News รายงานว่า สหรัฐฯ และรัสเซียมีเป้าหมายบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติสงครามในยูเครน โดยจะยอมรับการยึดครองดินแดนของรัสเซียที่ได้มาจากการรุกรานทางทหาร รายงานระบุว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และรัสเซียกำลังหารือเรื่องพื้นที่ยึดครอง เพื่อเตรียมการประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์และปูติน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เร็วสุดในสัปดาห์หน้า
การพบปะดังกล่าวสร้างความคาดหวังต่อการยุติสงครามในยูเครนด้วยวิถีทางการทูต ซึ่งอาจนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย และเกิดขึ้นในช่วงที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างทรัมป์และผู้ซื้อน้ำมันรัสเซียทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยในสัปดาห์นี้ ทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษีกับอินเดียหากยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย พร้อมระบุว่า จีนซึ่งเป็นผู้ซื้อน้ำมันดิบรัสเซียรายใหญ่ที่สุด อาจถูกเก็บภาษีเช่นเดียวกับอินเดีย
นักวิเคราะห์จาก ANZ Bank ระบุว่า การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มมีผลในวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) ก่อให้เกิดความกังวลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันดิบ
OPEC+ ได้ตกลงเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วว่า จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 547,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเร่งเพิ่มกำลังการผลิตหลายครั้งที่ผ่านมาเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด ซึ่งจะเพิ่มปริมาณน้ำมันในตลาดมากขึ้น ขณะที่จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดอุปทานในอนาคต เพิ่มขึ้น 1 แท่น มาอยู่ที่ 411 แท่นในสัปดาห์นี้
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดน้ำมันเผชิญปัจจัยลบอีกครั้งในสัปดาห์นี้ หลังสมาชิกหลักของ OPEC+ ประกาศยกเลิกการลดกำลังการผลิต 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันอย่างเต็มรูปแบบในเดือนก.ย. และมาตรการภาษีนำเข้าขนาดใหญ่ของทรัมป์มีผลบังคับใช้กับประเทศส่วนใหญ่
ทรัมป์ยังกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่าจะเสนอชื่อ สตีเฟน มิแรน ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ให้ดำรงตำแหน่งในบอร์ดธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ชั่วคราวในตำแหน่งที่ว่างลง ซึ่งสร้างความคาดหวังต่อแนวโน้มนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น โดยการลดดอกเบี้ยจะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของผู้บริโภคและสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจรวมถึงความต้องการใช้น้ำมัน
ส่วนดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นในวันศุกร์ ทำให้ความต้องการซื้อน้ำมันดิบจากผู้ซื้อในต่างประเทศลดลง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ส.ค. 68)