
ดร.ณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) ให้สัมภาษณ์ หลังการเปิดประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 2 (Workshop#2) ในหัวข้อ “การขับเคลื่อนประเทศสู่ความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลระดับโลก : Driving A Nation Towards world Digital Competitiveness” จัดโดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ว่า เป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ภายในปี 2570 จะมีมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัล ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(Gross Domestic Products : GDP) และไต่ระดับความสามารถในการแข่งขัน ด้านดิจิทัลในอันดับที่ 30 จากปัจจุบันที่เศรษฐกิจดิจิทัล คิดเป็นสัดส่วน 24% ของ GDP ได้รับการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ปี 2568 จาก IMD (International Institute for Management Development) อยู่ในอันดับที่ 37 ลดลง 2 อันดับ จากอันดับที่ 35 ในปี 2567
ในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ในปี 2570 นั้น นายณัฐพล กล่าวว่า กระทรวงดีอี มีแผนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลใน 6 ด้านหลักด้วยกันคือ 1. การลงทุนในเรื่องของระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Capital and Investment) 2.การพัฒนาอัตลักษณ์ด้านดิจิทัล (Digital Identity) 3. การพัฒนาระบบดิจิทัล (Digital Infrastructure) 4. การพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) 5.การพัฒนาระบบอี-คอมเมิร์ซ (Digital Payment and Cashless Society) และ 6.การนำดิจิทัลไปเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิต รวมถึงการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัล ตามเกณฑ์ในการพิจารณาของ IMD
ดร.ณัฐพล กล่าวว่า ที่ผ่านมาการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ในประเทศไทย ภาคเอกชนจะมีบทบาทในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานอยู่แล้ว โดยมีการลงทุนเป็นจำนวนมาก จากการให้บริการของบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยี ขณะที่ภาครัฐจะมุ่งเน้นเรื่องการวางระบบเพื่อเชื่อมต่อกับต่างประเทศ โดยในฝั่งแปซิฟิกในส่วนของ Cable Submarine เพื่อเชื่อมโยงระบบกับต่างประเทศ และ มีแผนที่จะพัฒนาในส่วนของ Cable Submarine ส่วนในฟากอันดามัน รัฐบาลอาจจะต้องใช้เงินลงทุนราว 5,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อเชื่อมต่อกับต่างประเทศ สนับสนุนกับการลงทุนระบบเครือข่ายของภาคเอกชน
ภายใต้โครงการ ระบบคราวด์กลางภาครัฐ หรือ Government Data Center and Cloud (GDCC) โดยการรวมศูนย์ข้อมูล (Data Center) ของหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยเข้ามาใช้งานร่วมกัน ที่พัฒนาต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2565-2568 กรอบงบประมาณราว 5,000 ล้านบาท สร้าง Data Center แล้วเสร็จแล้ว 45,000 VM (Virtual Machine ) จากที่ต้องใช้ประมาณ 800,000 VM สำหรับการจัดทำข้อมูล GDCC ให้ครอบคลุมกับทุกหน่วยงานของไทย
ขณะเดียวกัน ยังเร่งผลักดันให้หน่วยงานราชการ ปรับการทำงานใหม่ ในรูปแบบ E-Document หรือ Paperless office ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยงานรัฐ 65 แห่งปรับการทำงานมาสู่รูปแบบ E-Document เรียบร้อยแล้ว มีผู้ใช้รวมกว่า 90,000 users ขณะที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีผู้ใช้กว่า 78,000 users และตั้งเป้าภายในปี 2570 จะผลักดันให้หน่วยงานรัฐ ปรับการทำงานมาเป็นรูปแบบ E-Document ทั้งหมดหรือมากที่สุด
“ในปีงบประมาณปี 2569 กระทรวงฯจะเร่งขับเคลื่อน 3 เรื่องหลักสู่ Digital Government ในปี 2569-2570 คือE-Document ระบบคราวด์กลางภาครัฐ GDCC และ ความปลอดภัย Cyber Security โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ในการพัฒนา ปรับปรุงการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภาคอุตสาหกรรม โดยนำ AI มาพัฒนา สร้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI โดยกำหนดเป้าหมายภายในปี 2571 จะมีประชากรไทยเข้าถึงเทคโนโลยี AI ไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน มีผู้เชี่ยวชาญ(Professional) ไม่น้อยกว่า 90,000 คน และ สร้างผู้พัฒนาเทคโนโลยีเอไอ (AI Developer) ไม่น้อยกว่า 50,000 คน ภายใต้กรอบงบประมาณ 20,000 ล้านบาท ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล “ ดร.ณัฐพล กล่าว
ดันเศรษฐกิจดิจิทัล AI สู่ภาคการผลิต
“แม้ว่าปัจจุบันเรามีเทคโนโลยี 5G แต่ยังไม่ได้ถูกนำไปใช้ ในการพัฒนากระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ถ้าสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ไปใช้ในการพัฒนาภาคการผลิต อุตสาหกรรม และ SMEs จะช่วยลดต้นทุนธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและ สร้างรายได้เพิ่มขึ้น” นายณัฐพล กล่าว
สอดคล้องกับแนวคิดของ ศาสตราจารย์อาร์ทูโร บริส ผู้อำนวยการ สถาบัน IMD World Competitiveness Center ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในการบรรยาย หัวข้อ “Vision the Digital Future” ว่า ประเทศไทย มีการใช้เทคโนโลยี ดิจิทัล และ AI มีความสามารถในการแข่งขัน ในอันดับ 37 ในปี 2568 ลดลงจากอันดับที่ 35 ในปี 2567 ซึ่งการใช้งานส่วนใหญ่ของไทยจะอยู่ที่ผู้บริโภค เป็นหลัก แต่ยังไม่ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ไปใช้งานในภาคการผลิต และ ภาคอุตสาหกรรม
“อันดับที่ลดลงจาก 35 มาอยู่ที่ 37 มาจากอันดับด้านของเทคโนโลยี AI ของไทย มีผู้ใช้มากกว่าผู้พัฒนาเทคโนโลยี ทำให้คะแนนในส่วนนี้ ลดลงมา 8 อันดับจากอันดับ 15 อยู่ที่ 23 ในขณะที่ไทยมีคะแนนที่ดีขึ้น ในด้านความรู้และความพร้อมสำหรับอนาคต (Future Readiness)” ศาสตราจารย์ บริส กล่าว และเพิ่มเติมว่า ยกตัวอย่างประเทศเอสโตเนีย ที่กำหนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ประกาศนโยบายขับเคลื่อนประเทศด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล ที่โดดเด่นในภูมิภาคยุโรป เริ่มต้นจากการพัฒนาบุคลากร มุ่งมั่นพัฒนา AI เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบสารสนเทศ และใช้ในการปรับปรุงการมีส่วนร่วมของประชาชน และการสื่อสารกับหน่วยงานของภาครัฐ กลายเป็น E-Government
“สำหรับประเทศไทย ถ้าเราจะพัฒนาประเทศไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เราต้องให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากร และมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ในการขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ในทุกภาคส่วนของประเทศโดยเฉพาะในภาคการผลิตของประเทศทั้งภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และ ภาคบริการ” ศาสตราจารย์ บริส กล่าวสรุป
ชูแพลตฟอร์มกลาง สร้างเศรษฐกิจดิจิทัล
จากการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การขับเคลื่อนประเทศสู่ความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลระดับโลก : Driving A Nation Towards world Digital Competitiveness” โดยมี ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท แอ็คโคเมท จำกัด นายสวยศ ด่านบรรพต ประธานกรรมการบริหาร และผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาและพัฒนาธุรกิจ บริษัท วิตามินเบรน จำกัด ดร.เทอดพงษ์ หงษ์หิรัญเรือง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และกรรมการบริษัท บริษัท ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นำทีมการประชุมเชิงปฎิบัติการ ใน 4 หัวข้อได้แก่ 1. Building Digital Workforce & Talent 2. Accelerating Digital Government 3. AI Adoption and Governance 4 Digital Platform and E-Commerce เพื่อนำไปสู่การเพิ่มขีดแข่งขันสำหรับประเทศไทยใน 4 ประเด็น ได้แก่
1.การสร้างบุคลากรด้านดิจิทัลและการพัฒนาศักยภาพบุคลากร (Building Digital workforce & Talent) โดยที่ประชุมมีความเห็นว่า จำเป็นที่จะต้องพัฒนาคุณภาพของบุคลากรให้ได้รับการอบรม และ นำความรู้เรื่องของเทคโนโลยี ดิจิทัล และ เอไอ มาใช้ในการทำงานได้ องค์กรต้องพัฒนาองค์ความรู้ ร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน พัฒนาบุคลากรที่ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ใช้เทคโนโลยี แต่ต้องพัฒนาผู้เชี่ยวชาญ และ ผู้สร้างเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ โดยการสร้างระบบนิเวศน์ในการทำงานทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น ผนึกกำลังองค์ความรู้ของคนที่มีประสบการณ์ผนวกเข้ากับความสามารถของคนรุ่นใหม่ที่เชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยี มาทำงานร่วมกัน
2. การพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Accelerating Digital Government) รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อสร้าง ฐานข้อมูลแห่งชาติ(National Data Center) รวมไปถึงการสร้างภาษาของไทยเองในการพัฒนาระบบดิจิทัล และ เอไอ (LLM: Large Language Model) ของประเทศเอง เพื่อให้คนเข้าถึงได้ง่าย เพื่อสร้างรัฐบาลดิจิทัล ที่สามารถเข้าถึงประชาชนทุกคน
3. การนำ AI มาใช้ และ การกำกับดูแล (AI-Adoption and Governance) สถานการณ์ที่ประเทศไทยเผชิญอยู่คือ ไทยเป็นผู้ใช้เอไอ (AI User) ประเทศไทยมีบุคลากรไม่เพียงพอ แนวทางการแก้ไขปัญหาคือ ต้องร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับธุรกิจไทย โดยพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน และสร้างระบบในการเข้ามากำกับดูแลที่เหมาะสม และเป็นเจ้าของเทคโนโลยี
4. การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม และ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์(Digital Platform and E-Commerce) ประเทศไทยมีมูลค่าการซื้อขายผ่าน E-Commerce มูลค่ารวมกว่า 1.1 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งมีมูลค่าสูงเป็นอันดับต้นๆ แต่เราซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มต่างประเทศ ที่ประชุมเสนอให้มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาแพลตฟอร์มของประเทศ(National Platform) ในรูปแบบของการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน ( Public-Private Partnership) เพื่อทำเป็น Super Application และเป็นพื้นที่ในการค้าขาย (Market Place) และสร้างเครือข่ายธุรกิจร่วมกับภาคการขนส่งของรัฐอย่างไปรษณีย์ไทย เพื่อสร้างแพลตฟอร์มระดับชาติที่รวมทุกสินค้าเข้ามาค้าขาย เพื่อที่จะสร้างตลาดและในขณะเดียวกันลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มของต่างชาติ พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กให้เข้าถึงพื้นที่การขายในต้นทุนที่ต่ำ เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ส.ค. 68)