สภาผู้บริโภคเล็งฟ้อง กกพ.ปมรับซื้อไฟแพงส่งผลชาวบ้านแบกค่าไฟอ่วม

น.ส.รสนา โตสิตระกูล กรรมการนโยบาย และผู้เชี่ยวชาญด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคได้ติดตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจากภาคเอกชน ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ตั้งแต่ปี 2565 ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

โดยใช้วิธีการคัดเลือกเอกชนแทนการเปิดประมูล และกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้า 2.17 บาท/หน่วย ซึ่งสูงกว่าราคาในตลาดโลกที่ 1.77 บาท/หน่วย จนมีบริษัทเอกชนที่ไม่ได้รับการคัดเลือกยื่นฟ้องศาลปกครองให้ยกเลิกมติดังกล่าว แต่ต่อมาศาลได้ยกคำร้องในช่วงต้นปี 2568 จนมาในสมัยที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็น รมว.พลังงาน กกพ.ได้เปิดโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมจำนวน 2,180 เมกะวัตต์ ผ่านประกาศ กกพ.เรื่องประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ.2567 แต่ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกจำนวน 2,145.4 เมกะวัตต์ โดยกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินในราคา 2.17 บาท/หน่วย พลังงานแสงอาทิตย์พร้อมแบตเตอรี่ในราคา 2.8 บาท/หน่วย และพลังงานลมในราคา 3.10 บาท/หน่วย

ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคได้ทำหนังสือคัดค้านโดยยื่นอุทธรณ์ประกาศฉบับดังกล่าวในเดือน ต.ค.67 เพราะเห็นว่ามีปัญหาในกระบวนการรับซื้อหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราคาที่สูงเกินไปไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นภาระกับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าในอนาคต และยื่นหนังสือติดตามการอุทธรณ์อีกสองครั้งในเดือนธันวาคมปีเดียวกันและเดือน ก.พ.68 แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง คณะอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการนโยบาย สภาองค์กรของผู้บริโภคจึงมีมติให้จัดทำรายงานการละเลยการคุ้มครองผู้บริโภคยื่นต่อ กกพ. ซึ่ง กกพ.มีหน้าที่ต้องชี้แจงภายใน 60 วัน หากไม่มีการชี้แจงจะเปิดเผยรายงานต่อสาธารณะ ให้ประชาชนได้รับรู้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลไม่ได้ทำหน้าที่ และจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองต่อไป

“เราอาจตั้งข้อสังเกตว่าการจัดซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของเราแพงกว่าทั่วโลก แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้าน” น.ส.รสนา กล่าว “นี่อาจถือเป็นการผลักภาระไปอยู่บนบ่าของประชาชน เป็นการกระทำที่มีผลประโยชน์แอบแฝงหรือไม่ และมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับทุนพลังงานที่สนับสนุนพรรคการเมืองใช่หรือไม่ การกระทำเช่นนี้เป็นการเปิดให้กลุ่มทุนพลังงาน ล้วงกระเป๋าประชาชนหรือไม่ นี่คือคำถาม”

น.ส.รสนา ยังเรียกร้องให้ สส.ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านเคลื่อนไหวร่วมกันเพื่อหยุดยั้งเรื่องนี้ ทั้งนี้ยังขอให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ที่กำกับดูแลการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ประกาศนโยบายให้ประชาชนที่ผลิตไฟฟ้าเองในตอนกลางวัน และได้ส่งไฟฟ้าที่ผลิตเกินในตอนกลางวันไปพักไว้ในสายส่งเพื่อนำกลับมาใช้ในตอนกลางคืน (ระบบเน็ตมิเตอร์ริ่ง) เพื่อช่วยลดภาระค่าไฟให้กับประชาชน ซึ่งหากทำเช่นนั้นจะทำให้รัฐบาลได้คะแนนนิยมก่อนยุบสภาอีกด้วย

“อย่าห่วงแต่กลุ่มทุนพลังงาน กลัวว่าจะขาดทุนกำไร ควรห่วงประชาชนด้วย เพราะถ้าเปิดให้ทำเช่นนี้ เท่ากับประชาชนพึ่งตัวเองและลดภาระค่าไฟฟ้าได้ทันที” น.ส.รสนา กล่าว

ด้าน ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ได้เสนอรายงานผลการศึกษาเปรียบเทียบราคาประมูลรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศต่าง ๆ พบว่า บราซิลราคารับซื้ออยู่ที่ 1.31 บาท/หน่วย ปากีสถานและอินเดียมีการรับซื้อพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ในราคาที่ต่ำลงเรื่อย ๆ ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทย เวียดนามอยู่ที่ 1.70 บาท/หน่วย และกัมพูชาที่เริ่มโครงการเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา รับซื้อในราคา 1.32 บาท/หน่วย และปีนี้ลดลงเหลือ 0.90 บาท/หน่วย แต่ประเทศไทยทำสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ 2.17 บาท/หน่วย เป็นระยะเวลาถึง 25 ปี สูงกว่าราคาในตลาดโลก หากคิดในอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.50 /หน่วย ซึ่งหากมาคำนวนค่าเฉลี่ยจะพบว่าเท่ากับคนไทยต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่าคนทั้งโลกถึง 6.5 หมื่นล้านบาท

“ประเทศไทยอัตรารับซื้อไฟจากพลังงานโซลาร์ควรอยู่ที่ไม่เกิน 1.20 บาท/หน่วย ไม่ใช่ 2.17 บาท/หน่วย ซ้ำยังกีดกันประชาชนที่ผลิตไฟฟ้าได้จากหลังคาบ้าน ไม่ให้ฝากไฟในสายส่งเพื่อนำกลับมาใช้อีกด้วย” ผศ.ประสาท กล่าว

ขณะที่ นายไพศาล ลิ้มสถิตย์ นักวิชาการด้านกฎหมาย ระบุว่า ประกาศ (กกพ.) เรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในครั้งนี้ ขัดต่อ พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน ปี 2550 ในมาตราว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึงขัดมาตรา 72 ของรัฐธรรมนูญที่มุ่งส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสมและยั่งยืน การดำเนินการของ กกพ.ในครั้งนี้เข้าข่ายละเลยการคุ้มครองผู้บริโภค โดยสภาผู้บริโภคจะส่งรายงานละเลยการคุ้มครองผู้บริโภคให้ กกพ. พิจารณา และตอบกลับมาภายใน 60 วัน ถ้าไม่มีการตอบรับจะดำเนินการยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนประกาศดังกล่าวต่อไป

“การดำเนินการของสภาผู้บริโภคครั้งนี้ เป็นการผลักดันให้มีการทบทวนนโยบายการจัดซื้อไฟฟ้า และให้ความสำคัญกับการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นอันดับแรก เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป” นายไพศาล กล่าว

ทั้งนี้ ในรายงานระบุว่าการที่ กกพ.ไม่เปิดให้แข่งขันราคา เร่งรัดรับซื้อไฟฟ้าจากกลุ่มทุนเอกชนเดิม และกำหนดเกณฑ์รับซื้อไฟฟ้าราคาอยู่ที่ 2.17 บาท/หน่วย ทำให้อัตราค่าไฟสูงเกินจริง ซึ่งพบว่าในเวลา 25 ปีประชาชนแบกรับภาระค่าไฟฟ้าสูงถึง 6.5 หมื่นล้านบาท ทั้งที่หลายประเทศใช้วิธีประมูล ซึ่งถูกกว่าประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญคือไม่ถึง 2 บาท/หน่วย และราคาลดลงตามลำดับ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ส.ค. 68)