
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯ มีความกังวลเป็นอย่างยิ่ง ต่อสถานการณ์เงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการกลุ่มอาหารอนาคตไทยในตลาดโลก รวมไปถึงกระทบต่อรายได้ของทั้งเกษตรกร ผู้ผลิต และผู้ประกอบการ ตลอดทั้งห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมอาหารอนาคตไทย
โดยตั้งแต่ต้นปี 2568 ค่าเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นกว่า 7% ขณะที่ประเทศคู่แข่งสำคัญ เช่น จีน, อินเดีย, เวียดนาม และสิงคโปร์ ต่างมีค่าเงินที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดความแตกต่างที่มากขึ้นทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน และทำให้สินค้ากลุ่มอาหารอนาคตไทยมีต้นทุนสูงกว่าคู่แข่ง ทั้งที่สินค้าของประเทศไทยมีคุณภาพและมาตรฐานสากลไม่ด้อยกว่า
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ในอุตสาหกรรมอาหารอนาคต ซึ่งรวมถึงอาหารฟังก์ชัน, อาหารสำหรับผู้สูงอายุ, อาหารอินทรีย์ (ออร์แกนิก) และอาหารกลุ่มโปรตีนทางเลือก การแข่งขันด้านต้นทุนและราคา ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขยายตลาดใหม่ หากเงินบาทแข็งค่า ผู้ซื้อในต่างประเทศจะหันหาคู่แข่งที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่า ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยสูญเสียโอกาสในการขยายตลาด
สำหรับผลกระทบต่อผู้ประกอบการ และเกษตรกร มีดังนี้
1. ผู้ประกอบการและผู้ส่งออก จะสูญเสียคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันทางด้านราคาได้ แม้คุณภาพของสินค้าจะเป็นที่ยอมรับ
2. เกษตรกรและผู้ผลิตด้านวัตถุดิบ จะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์วัตถุดิบภายในประเทศลดลง ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศที่เกี่ยวข้องลดลงตาม
3. การพัฒนากลุ่มอาหารอนาคต ต้องการการลงทุนด้านวิจัยและเทคโนโลยี หากรายได้ลดลง นักลงทุนและผู้ประกอบการอาจชะลอการลงทุน หรือลดการพัฒนาสินค้า
ดังนั้น สมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย จึงขอให้รัฐบาล และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เร่งดำเนินมาตรการเพื่อดูแลเรื่องค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม โดยมีข้อเสนอแนะดังนี้
1. ดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน ให้สอดคล้องกับศักยภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย และคู่ค้า คู่แข่ง รวมถึงดำเนินการตรวจสอบสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินแข็ง และแก้ไขให้ค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การดูแลค่าเงินต้องดูแลอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ถูกตีความว่าเป็นการบิดเบือนค่าเงิน (Currency Manipulation) ตามกฎกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
2. สนับสนุนการส่งออกอาหารอนาคตไทย จัดทำมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น เงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ และการเข้าถึงสินเชื่อ กองทุนพิเศษสำหรับการลงทุนด้านวิจัยและเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารอนาคต
3. ส่งเสริมความเข้มแข็งของเกษตรกร ผลักดันนโยบายเชื่อมโยงเกษตรกรไทยเข้ากับห่วงโซ่การผลิตอาหารอนาคต เพื่อเพิ่มรายได้และลดความเปราะบางจากความผันผวนของค่าเงิน
4. เจรจาการค้าและความร่วมมือระหว่างประเทศ เปิดตลาดใหม่ และสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์อาหารอนาคตไทย เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิม และเพิ่มโอกาสทางการค้าในแก่สินค้าอาหารอนาคต
“สถานการณ์เงินบาทแข็งค่า และการผันผวนของค่าเงินในขณะนี้ ถือเป็นวาระเร่งด่วน ที่อาจกระทบต่อศักยภาพการแข่งขันของอาหารอนาคตไทยในตลาดโลก และบั่นทอนรายได้ของผู้ประกอบการ เกษตรกร รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่การผลิต หากไม่มีมาตรการที่สามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ย่อมทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในการแข่งขัน รวมถึงพลาดโอกาสในการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอาหารอนาคตของภูมิภาค” นายวิศิษฐ์ ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ก.ย. 68)