
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ (12 ก.ย.) หลังจากการโจมตีด้วยโดรนของยูเครนทำให้ต้องระงับการขนถ่ายน้ำมันที่ท่าเรือใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกของรัสเซีย แต่การปรับขึ้นของราคาน้ำมันถูกจำกัดด้วยความกังวลต่ออุปสงค์ในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 32 เซนต์ หรือ 0.51% ปิดที่ 62.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 62 เซนต์ หรือ 0.93% ปิดที่ 66.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า หลังมีเหตุโจมตีด้วยโดรนที่ท่าเรือพริมอร์สก์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัสเซีย ซึ่งส่งผลให้การขนถ่ายน้ำมันถูกระงับชั่วคราวในช่วงกลางคืน
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซียมีแนวโน้มจะฉุดให้การส่งออกน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปลดลง แต่ต่อมาในวันเดียวกัน ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลต่อรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่มีการปรับทบทวนใหม่ รวมทั้งตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
นักวิเคราะห์อีกรายกล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจไม่ได้เอื้อต่อการดีดตัวขึ้น ภาพรวมของตลาดน้ำมันยังเป็นขาลงและมีแนวโน้มซบเซา
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันอังคารว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ สร้างงานน้อยกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ถึง 911,000 ตำแหน่งในช่วง 12 เดือนจนถึงเดือนมี.ค. ส่วนเมื่อวันพฤหัสบดี กระทรวงฯ รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค.
ตลาดยังจับตาความเป็นไปได้ที่รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะออกมาตรการคว่ำบาตรหรือเก็บภาษีนำเข้า เพื่อลดการใช้น้ำมันดิบรัสเซียในอินเดียและจีน
นักวิเคราะห์กล่าวว่า หากภาษีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการส่งออก เราอาจเห็นน้ำมันดิบของรัสเซียหายไปจากตลาด
อย่างไรก็ตาม รายงานของโอเปกในวันเดียวกันยังคงคาดการณ์ถึงการเติบโตของอุปสงค์น้ำมันในระดับสูงทั้งในปีนี้และปีหน้า โดยระบุว่าเศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวในทิศทางที่มั่นคง
ด้านอุปทานนั้น มีรายงานว่า Adani Group ผู้ดำเนินการท่าเรือเอกชนรายใหญ่ที่สุดของอินเดีย ได้สั่งห้ามเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตรโดยชาติตะวันตกเข้าสู่ท่าเรือทุกแห่งของตน ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกน้ำมันรัสเซีย โดยอินเดียถือเป็นผู้ซื้อน้ำมันทางเรือรายใหญ่ที่สุดของรัสเซีย ซึ่งส่วนใหญ่ขนส่งด้วยเรือที่อยู่ภายใต้การคว่ำบาตรของสหภาพยุโรป สหรัฐฯ และอังกฤษ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ก.ย. 68)