
นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง เผยว่า ในช่วงที่ตลาดโลกยังเผชิญความไม่แน่นอน การจัดพอร์ตอย่างเหมาะสมจะเป็นทั้งเกราะป้องกันความเสี่ยง และกลไกในการปรับตัวเพื่อมองหาโอกาสการลงทุนที่ใช่ จึงคัดสรรกองทุนแนะนำที่ควรมีไว้ในพอร์ตลงทุน จำนวน 5 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดอีสท์สปริง Eastspring Global Multi Asset Income Fund (ES-GAINCOME) กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Core Equity (ES-GCORE) กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity (ES-USBLUECHIP) กองทุนเปิดอีสท์สปริง German Equity (ES-GER) และกองทุนเปิดอีสท์สปริง Asian Low Volatility Equity (ES-ALOVE) โดยกองทุกกองทุนลงทุนผ่านกองทุนหลัก
โดย กองทุนเปิดอีสท์สปริง Eastspring Global Multi Asset Income Fund (ES-GAINCOME) เน้นลงทุนผ่านกองทุนหลัก AMUNDI FUNDS PIONEER INCOME OPPORTUNITIES บริหารจัดการโดย Amundi Luxembourg S.A. ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน กองทุนหลักมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Diversified) ครอบคลุมทั้งหุ้น พันธบัตร ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก และสร้างรายได้ในทุกภาวะตลาด ด้วยกลยุทธ์ Multi-Asset ที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกเผชิญความไม่แน่นอนมากขึ้น ตัวเลขภาคแรงงานเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรง รวมถึงความผันผวนจากนโยบายการเงินและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงกดดันนักลงทุน การมองหาทางเลือกที่มีโอกาสสามารถสร้างรายได้ประจำ (Income) พร้อมกับช่วยลดความผันผวนของพอร์ต จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ
กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Core Equity (ES-GCORE) เน้นลงทุนผ่านกองทุนหลัก Goldman Sachs Global CORE Equity Portfolio Class I Shares (Acc.) (Snap) โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนหลักลงทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สินในตราสารทุนทั่วโลก บริหารจัดการโดย Goldman Sachs Asset Management Fund Services Limited ใช้กลยุทธ์ Quantitative กระจายความเสี่ยงด้วยการคัดเลือกหุ้นทั่วโลก ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ใช้การคัดเลือกเชิงปริมาณ (Quant model) เน้นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ราคาน่าสนใจ และมีโมเมนตัมดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพอร์ต “แกนกลาง” ที่มีโอกาส มั่นคงและกระจายความเสี่ยงอย่างมีระบบ โดยเรามองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจโลกยังเติบโตได้ แม้มีความกดดันจากนโยบายการค้าและความไม่แน่นอน
สำหรับกองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity (ES-USBLUECHIP) เน้นลงทุนในกองทุน T. Rowe Price Funds SICAV – US Blue Chip Equity Fund Class I โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ลงทุนในหุ้นชั้นดีของบริษัทในประเทศสหรัฐฯ บริหารจัดการโดย T. Rowe Price International Ltd ทั้งนี้ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ชะลอตัวลง การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ ยังคงสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าสนใจและทนทานต่อความผันผวนมากกว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยกองทุนนี้ลงทุนในหุ้นบลูชิพของสหรัฐฯ (บริษัทขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงและความแข็งแกร่งทางการเงิน) ลงทุนในบริษัทที่เป็น “Growth leaders” ของสหรัฐฯ เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet ฯลฯ และมีกระจายลงทุนครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมทั้ง Tech, Consumer Discretionary, Healthcare เหมาะกับผู้ที่เชื่อในศักยภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และบริษัทระดับโลก โดยเรามองว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมและการบริโภค
ส่วนกองทุนเปิดอีสท์สปริง German Equity (ES-GER) เน้นลงทุนในกองทุน db x-trackers DAX UCITS ETF (DR)โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนหลักมุ่งเน้นลงทุนในหุ้นทั้งหมดที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี DAX บริหารจัดการโดยDeutsche Asset Management S.A.จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เยอรมันในรูปสกุลเงินยูโร โดยอัตราการเติบโตของ GDP เยอรมนีในปี 2025 มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นกว่าที่คาดไว้ โดยเยอรมันมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่น่าสนใจ เงินเฟ้ออ่อนตัว และเยอรมันเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป มีความแข็งแกร่งด้านอุตสาหกรรมและการส่งออก ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปหลังนโยบายการคลังคลายตัว (การลดภาษี, กระตุ้นการบริโภค) โดยกองทุนนี้เน้นหุ้นชั้นนำของเยอรมนี เช่น Siemens, SAP, Allianz, Deutsche Telekom ฯลฯ เป็นโอกาสในการลงทุนแบบ “contrarian” เนื่องจากยุโรปถูกลดน้ำหนักจากนักลงทุนส่วนใหญ่ แต่หากวิเคราะห์เชิงลึก หุ้นยุโรปมี Valuation ที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ (P/E ต่ำกว่า) ขณะที่เยอรมันเริ่มคลายกฎ “Debt brake” และมีนโยบายสนับสนุนการเติบโต เช่น การลดภาษีนิติบุคคล ส่งผลให้เยอรมันเป็นตลาดหุ้นอีกประเทศที่น่าสนใจ
กองทุนเปิดอีสท์สปริง Asian Low Volatility Equity (ES-ALOVE) เน้นลงทุนในกองทุน Eastspring Investments – Asian Low Volatility Equity Fund ในหน่วยลงทุนชนิด Class C ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน บริหารจัดการโดย Eastspring Investments (Luxembourg) S.A. เพื่อสร้างผลตอบแทนรวมที่สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น) ทั้งนี้นโยบายการเงินและการคลังในเอเชียมีความคล่องตัว โดยหุ้นที่มีฐานธุรกิจในประเทศ (domestically anchored) มักมีความยืดหยุ่นสูง รวมถึงโอกาสจากภาค AI, data centers ในจีน, การบริโภคภายในที่แข็งแกร่งในหลายประเทศ เช่น อินเดีย แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากภาษีของสหรัฐฯ แต่ภาพรวมยังมีโอกาสสำหรับหุ้น defensively positioned, Low Volatility โดยกองทุนเน้นลงทุนในหุ้นเอเชียที่มีความผันผวนต่ำ และมีคุณภาพดี ผ่านกลยุทธ์ Low Volatility และมี Valuation ถูก โดยเน้นประเทศเอเชียที่มีศักยภาพ เช่น จีน อินเดีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ โดยสไตล์การลงทุนเน้น Defensive + Value เป็นหลัก เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นเอเชียแต่กังวลเรื่องความผันผวน และได้ Exposure ต่อการเติบโตของเอเชีย โดยลด Downside risk จากตลาดที่ผันผวน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ก.ย. 68)