
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (17 ก.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด อย่างไรก็ดี ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน โดยดัชนี S&P500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดในแดนลบ หลังจากเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณระมัดระวังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุก
- ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,018.32 จุด เพิ่มขึ้น 260.42 จุด หรือ +0.57%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,600.35 จุด ลดลง 6.41 จุด หรือ -0.10% และ
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,261.33 จุด ลดลง 72.63 จุด หรือ -0.33%
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติ 11 ต่อ 1 เสียง อนุมัติการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธ โดยสตีเฟน มิแรน ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกคณะผู้ว่าการเฟด โหวตสวนมติในที่ประชุม FOMC โดยเขาลงมติให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งนี้
สำหรับการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ก่อนสิ้นปีนี้
ส่วนการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้น เฟดได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ขึ้นสู่ระดับ 1.6% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.4% นอกจากนี้ เฟดคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อตามดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ในปี 2568, 2569 และ 2570 จะอยู่ที่ระดับ 3.1%, 2.6% และ 2.1% ตามลำดับ จากเดิมคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.ว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.1%, 2.4% และ 2.1% ตามลำดับ
เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวในระหว่างการแถลงข่าวกับต่อมวลชนว่า การจ้างงานมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเผชิญภาวะขาลงเมื่อเทียบกับตัวเลขเงินเฟ้อ แต่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังคงต้องมีการประเมินและควบคุม
นักวิเคราะห์จากบริษัท Angeles Investments กล่าวว่า การแสดงความเห็นของพาวเวลได้ลดทอนความคาดหวังของนักลงทุนที่ต้องการเห็นสัญญาณของการผ่อนคลายนโยบายการเงินเชิงรุกมากขึ้น โดยเขาระบุถึงความอ่อนแอของตลาดแรงงาน แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในขณะนี้
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้น 0.96% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น 0.9% ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงมากที่สุด โดยลดลง 0.7% ตามด้วยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวลง 0.45%
การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มการเงิน ซึ่งรวมถึงหุ้น American Express เป็นปัจจัยหนุนดัชนีดาวโจนส์ ขณะที่หุ้น Nvidia ร่วงลง 2.6% และเป็นปัจจัยฉุดดัชนี Nasdaq หลังจากสำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซของจีน (CAC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตของจีน ได้สั่งให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีน ซึ่งรวมถึง ByteDance และ Alibaba ระงับการซื้อชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของ Nvidia รวมทั้งยกเลิกคำสั่งซื้อก่อนหน้านี้
คำสั่งของ CAC ถือเป็นมาตรการของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ออกข้อจำกัดไม่ให้บริษัทจีนเข้าถึงชิประดับสูงของสหรัฐฯ ส่งผลให้จีนผลักดันให้บริษัทภายในประเทศยุติการสั่งซื้อจากซัพพลายเออร์สหรัฐฯ
หุ้น Lyft ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเรียกรถโดยสารผ่านแอปพลิเคชัน ทะยานขึ้น 13.1% หลังมีรายงานข่าวว่า Waymo ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับในเครือของ Alphabet จะร่วมมือกับ Lyft ในการเปิดตัวบริการรถแท็กซี่อัตโนมัติในเมืองแนชวิลล์ในปีหน้า ขณะที่หุ้นบริษัทคู่แข่งอย่าง Uber ร่วงลง 5%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ก.ย. 68)