
ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส [IVL] เป็นระดับ”A+” จาก “AA-” พร้อมทั้งลดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทเป็นระดับ “A+” จาก “AA-” และหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทเป็นระดับ “A-” จาก “A” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น”Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative”หรือ “ลบ”
การลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ต่ำกว่าที่คาดไว้จนส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA สูงเกินกว่าเกณฑ์ในการปรับลดอันดับเครดิตที่กำหนดไว้ที่ 3 เท่า ทั้งนี้ จากความไม่แน่นอนของตลาดที่ยังคงดำเนินอยู่และความเสี่ยงในการดำเนินการตามแผนลดภาระหนี้ ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ระหว่าง 3.5-4.5 เท่าในช่วงปี 2569-2570 ซึ่งจะสูงกว่าที่ทริสเรทติ้งเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
อันดับเครดิตที่ระดับ “A+” สะท้อนถึงสถานะผู้นำในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ของบริษัท ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการผลิตที่ครบวงจร (Vertical Integrated Production) การมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายรวมทั้งการมีฐานการผลิตและฐานลูกค้าที่กว้างขวาง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญของคณะผู้บริหารและการเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญ ๆ ในอุตสาหกรรม รวมถึงแผนในการลด
ภาระหนี้ที่จริงจังของบริษัทอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนโดยธรรมชาติของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและผลกำไรที่ยังอยู่ในระดับต่ำของบริษัทจากกำลังการผลิตส่วนเกินของอุตสาหกรรมด้วยเช่นกัน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
แผนการลดภาระหนี้ล่าช้าจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอ การลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ซึ่งส่งผลให้การลดภาระหนี้ต้องล่าช้าตามไปด้วย โดย ณ เดือนมิถุนายน 2568 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA
ของบริษัทอยู่ที่ 6.2 เท่า (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์การปรับลดอันดับเครดิตที่กำหนดไว้ที่ 3 เท่าอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ระดับของสัดส่วนภาระหนี้ที่ยังอยู่สูงนี้เกิดจาก EBITDA ที่ลดลง 26.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเหลือเพียง 1.91 หมื่นล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงงาน ประกอบกับแรงกดดันด้านเศรษฐกิจมหภาคอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นกำลังการผลิตส่วนเกินในประเทศจีน ความไม่แน่นอนของการค้าโลก และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงอยู่ในระดับต่ำ
สภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยดังกล่าวได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อแผนการลดภาระหนี้ของบริษัท โดยแผนการขายสินทรัพย์บางส่วนหรือการนำบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังไม่สามารถเกิดขึ้นตามที่คาดไว้ นอกจากนี้ การซื้อกิจการครั้งใหม่ที่ทำให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นยังสวนทางกับการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งเมื่อปีก่อนว่าภาระหนี้ของบริษัทจะค่อย ๆ ลดลง
ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานของอุตสาหกรรมที่น่าจะดีขึ้นและความพยายามในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร ทั้งนี้ ปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญคือการปรับสมดุลของอุปสงค์และอุปทานในห่วงโซ่คุณค่าโพลีเอสเตอร์ในประเทศจีน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการชะลอตัวของการเพิ่มกำลังการผลิต Polyethylene Terephthalate (PET) ที่จะเข้ามาใหม่และนโยบายต่อต้านการแข่งขันที่ไม่มีประสิทธิภาพ (Anti-involution Policy) ของรัฐบาลจีนที่มุ่งลดการผลิตสินค้าปิโตรเคมีที่ไม่มีประสิทธิภาพและการแข่งขันที่มากเกินไปในระยะกลางถึงระยะยาว ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงในด้านลบที่มีต่อส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีก็น่าจะมีแนวโน้มที่จำกัดเนื่องจากอัตรากำไรในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำซึ่งไม่ยั่งยืน และจะส่งผลให้เกิดการลดกำลังการผลิตทั่วทั้งอุตสาหกรรม ซึ่งสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของบริษัทในอนาคต
แผนการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรภายใต้ชื่อโครงการ “IVL 2.0” ซึ่งมุ่งเน้นการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานนั้นคาดว่าจะสร้างประโยชน์ให้แก่บริษัทมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รูปแบบทางธุรกิจที่หลากหลายของบริษัทยังคาดว่าจะช่วยลดความผันผวนของผลกำไรได้บางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประโยชน์บางด้านของมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) สำหรับผลิตภัณฑ์ Purified Terephthalic Acid (PTA) และ PET ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ถึงแม้ว่าจะมีผลกระทบจากกำหนดการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานผลิต Methyl Tert-butyl Ether (MTBE) ตามแผนก็ตาม อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาพรวมของการผลิตจะกลับสู่สภาวะปกติในช่วงระหว่างปี 2569 จนถึงปี2570
ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง การเพิ่มขึ้นของ EBITDA จากแผนการเพิ่มประสิทธิภาพของสินทรัพย์ (Asset Optimization) และมาตรการลดต้นทุนต่าง ๆ ได้ถูกปรับลดลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้าซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงในการดำเนินงานตามแผนและความไม่แน่นอนของตลาดที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ต่อตันของบริษัทจะคงอยู่ที่ระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2568 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 110-120 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงระหว่างปี 2569-2570 โดย EBITDA รวมคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.0-4.5 หมื่นล้านบาทในปี 2568 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 5.0-5.5 หมื่นล้านบาทภายในปี 2570
ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้คงค้างของบริษัทจะลดลงตามนโยบายของฝ่ายบริหารที่ตั้งเป้าจะลดอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ให้ต่ำกว่า 3.0 เท่า ถึงแม้ว่าแผนการลดภาระหนี้จะล่าช้ากว่ากำหนด แต่ทริสเรทติ้งยังคงเห็นความคืบหน้าอยู่บ้าง โดยบริษัทมีแผนการที่จะยื่นจดทะเบียนสำหรับการเสนอขายหุ้นครั้งแรก (IPO) ของบริษัทย่อยหลักภายในปี 2568 และคาดว่าการเสนอขายหลักทรัพย์จะดำเนินการได้ในปี 2569 อย่างไรก็ตาม การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของส่วนธุรกิจ Indovida และการระดมทุนสำหรับธุรกิจรีไซเคิลผลิตภัณฑ์ PET อาจจะยังคงล่าช้ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แผนการขายสินทรัพย์ของบริษัทซึ่งรวมถึงการขายอสังหาริมทรัพย์และที่ดินมูลค่ารวมประมาณ 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักที่มูลค่า 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ก็คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2569
ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีการใช้เงินลงทุนที่ระดับประมาณ 2.24 หมื่นล้านบาทในปี 2568 และจะลดลงเหลือประมาณ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2569 จนถึงปี2570 โดยทริสเรทติ้งได้พิจารณารวมการขายสินทรัพย์และมีสมมติฐานว่าการเสนอขายหุ้น IPO จะระดมทุนได้ประมาณ 700-750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อพิจารณาจากแผนงานเหล่านี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจากประมาณ 5.5-6.0 เท่าในปี 2568 มาอยู่ที่ช่วงระดับประมาณ 3.5-4.5 เท่าในระหว่างปี 2569-2570
สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทได้รับแรงสนับสนุนจากการเป็นผู้นำทางการตลาดที่เข้มแข็งในห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ของบริษัท ตลอดจนขนาดการดำเนินธุรกิจที่ครอบคลุมทั่วโลก และการผลิตแบบบูรณาการในแนวดิ่ง ทั้งนี้ บริษัทเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตเม็ดพลาสติก PET รายใหญ่ที่สุดของโลกซึ่งมีการดำเนินงานใน 32 ประเทศและครอบคลุม 5 ทวีป การบูรณาการด้านการผลิตตลอดห่วงโซ่ยังช่วยสร้างข้อได้เปรียบในด้านต้นทุนให้แก่บริษัทอีกด้วย โดยบริษัทดำเนินธุรกิจตลอดทั้งห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ตั้งแต่การผลิตสินค้าปิโตรเคมี เช่น PTA PET และ Monoethylene Glycol (MEG) ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ เช่น เส้นใยโพลีเอสเตอร์ เส้นด้าย และบรรจุภัณฑ์พอร์ตการลงทุนในผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังครอบคลุมสารเคมีชนิดพิเศษที่มีมูลค่าสูง เช่น สารลดแรงตึงผิวและสารฆ่าเชื้อซึ่งช่วยเพิ่มอัตรากำไรโดยรวมของบริษัทได้อีกด้วย นอกจากนี้ การมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายยังช่วยให้บริษัทสามารถให้บริการแก่หลายอุตสาหกรรมและเข้าถึงความต้องการที่มั่นคงจากตลาดปลายทางที่หลากหลายด้วยเช่นกัน
บริษัทได้รับประโยชน์จากฐานการผลิตที่กระจายตัวหลากหลายทางภูมิศาสตร์โดยการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในอเมริกาเหนือซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดาน (Shale Gas) ที่ต่ำและได้รับการคุ้มครองจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดมีส่วนช่วยชดเชยข้อจำกัดจากโครงสร้างต้นทุนที่สูงในยุโรปและการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงในเอเชียได้แม้จะมีความสมดุลในเชิงกลยุทธ์ดังกล่าว แต่บริษัทก็ยังคงเผชิญกับความผันผวนโดยธรรมชาติของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีซึ่งเกิดแรงกดดันต่อผลกำไรจากภาวะอุปทานส่วนเกินทั่วโลกที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
บริษัทมีสภาพคล่องที่สามารถบริหารจัดการได้โดยเป็นผลจากแผนการรีไฟแนนซ์ในเชิงรุกเพื่อรองรับการชำระหนี้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2568 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 1.97 หมื่นล้านบาท เงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 3.1 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 4.06 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ความต้องการใช้เงินในช่วงเวลาเดียวกันประกอบด้วยการชำระหนี้เงินกู้ระยะสั้นจำนวน 4.83 หมื่นล้านบาท การชำระคืนเงินกู้ระยะยาวจำนวน 2.19 หมื่นล้านบาท การไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดจำนวน 1.44 หมื่นล้านบาท และเงินลงทุนอีกจำนวน 1.77 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 บริษัทได้รับวงเงินกู้ใหม่รวม 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 6.17 หมื่นล้านบาท) เพื่อเสริมสภาพคล่อง ซึ่งในจำนวนนี้ 1.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (4.06 หมื่นล้านบาท) บริษัทจะนำไปใช้เพื่อชำระหนี้ระยะสั้นและเงินกู้ยืมอื่น ๆ ที่จะครบกำหนดชำระภายใน 12 เดือนข้างหน้า และส่วนที่เหลืออีกจำนวน 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.11 หมื่นล้านบาท) บริษัทจะนำไปใช้เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้ที่ครบกำหนดตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2569 เป็นต้นไป
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีภาระหนี้รวมที่จำนวนประมาณ 2.72 แสนล้านบาท (รวมหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน) โดยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนของบริษัทประกอบด้วยหนี้ที่มีหลักประกันและหนี้ของบริษัทย่อยรวมจำนวน 6.59 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 24.2% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานที่สำคัญ ๆ ในประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับปี 2568-2570 มีดังนี้:
• EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วต่อตันจะอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2568 และจะอยู่ที่ 120 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2570
• ยอดขายรวมจะอยู่ที่ประมาณ 13.2 ล้านตันในปี 2568 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 13.6 ล้านตันในปี 2570
• งบลงทุนรวมซึ่งไม่รวมการซื้อหุ้นจะอยู่ที่จำนวน 2.24 หมื่นล้านบาทในปี 2568 และที่ประมาณ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2569-2570
• คาดว่าบริษัทจะได้รับเงินจำนวนประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทจากการขายที่ดินและสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักและประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาทจากการเสนอขายหุ้น IPO
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะค่อย ๆ ฟื้นตัวโดยได้รับแรงสนับสนุนจากสภาวะอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นและการดำเนินกลยุทธ์ต่าง ๆ ของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงมาตรการลดต้นทุน การปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน การขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก และการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทย่อยจากความพยายามเหล่านี้ประกอบกับแนวโน้มการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สิน ทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นและอยู่ต่ำกว่า 5.0 เท่าภายในปี 2569 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ก.ย. 68)