อินโดฯ-อียู ปิดดีลการค้าครั้งประวัติศาสตร์ หลังเจรจา 9 ปี จ่อยกเลิกกำแพงภาษีครั้งใหญ่

อินโดนีเซียและสหภาพยุโรป (EU) ประกาศความสำเร็จในการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม (CEPA) อย่างเป็นทางการในวันนี้ (23 ก.ย.) ปิดฉากการเจรจาที่ยาวนานถึง 9 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการค้าและการลงทุนระหว่างสองฝ่าย

ภายใต้ความตกลงนี้ อินโดนีเซียจะยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจาก EU ถึง 98.5% ของรายการสินค้าทั้งหมด ซึ่งจะช่วยให้สินค้าอย่างรถยนต์ นมผง ชีส และช็อกโกแลต เข้าสู่ตลาดอินโดนีเซียได้ง่ายขึ้น EU คาดการณ์ว่าจะช่วยให้ผู้ส่งออกประหยัดภาษีได้ถึงปีละ 600 ล้านยูโร (707.40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ขณะที่ฝั่งอินโดนีเซียจะได้รับประโยชน์จากการที่สินค้า 90% สามารถส่งออกไปยังตลาดยุโรปได้โดยปลอดภาษี กระทรวงเศรษฐกิจอินโดนีเซียคาดว่าจะช่วยหนุนการส่งออกสินค้าสำคัญ เช่น น้ำมันปาล์ม กาแฟ และสิ่งทอได้อย่างมหาศาล

แอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีประสานงานกิจการเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ตั้งเป้าให้ความตกลงมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 1 ม.ค. 2570 โดยทั้งสองฝ่ายจะเร่งดำเนินการตรวจสอบถ้อยคำทางกฎหมายและกระบวนการให้สัตยาบันต่อไป

นอกจากนี้ ความตกลงดังกล่าวยังมุ่งสร้างความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญอย่างนิกเกิลและโคบอลต์ รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งอินโดนีเซียกำลังเจรจากับค่ายรถยุโรปอยู่

อย่างไรก็ตาม แม้ข้อตกลงนี้จะช่วยขจัดกำแพงภาษีให้น้ำมันปาล์มซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลัก แต่สมาคมน้ำมันปาล์มแห่งอินโดนีเซีย (GAPKI) ยังคงแสดงความกังวลต่ออุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี นั่นคือ กฎหมายว่าด้วยสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ปลายปีนี้ และกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องพิสูจน์ว่าสินค้าไม่ได้มาจากพื้นที่ตัดไม้ทำลายป่าหลังปี 2563 ซึ่งอาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ลดทอนประโยชน์ของความตกลงการค้าฉบับนี้ได้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.ย. 68)