กรุงศรี ชี้ช่องลงทุนตราสารหนี้กลาง-ยาวรับดอกเบี้ยขาลงหลังตื่นขายกังวลหนี้สาธารณะ-การเมือง

น.ส.พรทิพา หนึ่งน้ำใจ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดตราสารหนี้ของไทยมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับช่วงก่อนหน้าที่กองทุนตราสารหนี้ของไทยได้ให้ผลตอบแทนที่ดีมาตลอด จากการที่อัตราดอกเบี้ยในไทยเข้าสู่ช่วงขาลง โดยก่อนหน้านี้ประเทศไทยได้ผ่านวัฏจักรของดอกเบี้ยขาขึ้นและขาลงมาแล้วสองรอบใหญ่ คือช่วงดอกเบี้ยขาลงในยุคโควิด และช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นหลังโควิด โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 2.5% จากจุดต่ำสุดที่ 0.5% และปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาแล้ว 1% มาอยู่ที่ระดับ 1.5% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยยังคงอยู่ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง และยังมีโอกาสที่ดอกเบี้ยจะปรับลดลงได้อีก

“การปรับตัวลดลงของราคาตราสารหนี้อย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไป แต่มีสาเหตุหลักมาจากการที่นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากมีการไถ่ถอนกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวมากผิดปกติในช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 3-4 วัน สาเหตุมาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.ผลตอบแทน (Yield) ที่ปรับลดลงมามากแล้ว ทำให้นักลงทุนบางส่วนรอจังหวะที่ Yield จะดีดตัวขึ้นเพื่อเข้าซื้อในราคาที่ดีกว่าเดิม 2.ความไม่แน่นอนทางการเมือง หลังการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับข่าวเกี่ยวกับกรอบหนี้สาธารณะและภาระหนี้ของภาครัฐ ทำให้เกิดการคาดการณ์ที่หลากหลายในตลาด”

น.ส.พรทิพา กล่าวว่า เมื่อนักลงทุนในตลาดมีความกังวลเรื่องการเมืองและหนี้สาธารณะเพิ่มมากขึ้น อัตราผลตอบแทน (Yield) ของตราสารหนี้ไทยจึงปรับตัวขึ้นในช่วงสั้นๆ ประมาณ 5-10 bps ต่อวัน ซึ่งการดีดตัวขึ้นของ Yield ดังกล่าวได้กระตุ้นให้เกิดแรงขายจากนักลงทุนรายย่อยที่ตกใจกับความผันผวน และเมื่อมีแรงขายจำนวนมากเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ประกอบกับตลาดตราสารหนี้ไทยซึ่งเป็นตลาด OTC (Over-the-Counter) ที่เมื่อมีฝั่งขายมากกว่าฝั่งซื้ออย่างชัดเจน จะทำให้ราคาปรับตัวลดลงได้ง่าย ส่งผลให้เกิดความผันผวนในราคากองทุนตราสารหนี้ แม้สถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้ราคากองทุนลดลงในระยะสั้น แต่ไม่ถือว่าเป็นภาวะวิกฤติ เป็นเพียงความผันผวนที่เกิดจากพฤติกรรมการลงทุนของตลาดในช่วงนั้นๆ

“บลจ.กรุงศรี มีมุมมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยได้อีก 1-2 ครั้งภายในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว ในขณะเดียวกันหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม กองทุนตราสารหนี้โลกโดยเฉพาะตราสารหนี้อายุต่ำกว่า 10 ปี ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการเลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องพิจารณาระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเลือกอายุคงเหลือเฉลี่ยของกองทุน (Duration) ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุน”

สำหรับนักลงทุนที่รับความผันผวนได้ต่ำแนะนำให้พิจารณาลงทุนในกองทุนตลาดเงินหรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ที่มีความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคาค่อนข้างต่ำ หากแต่อัตราผลตอบแทนก็จะปรับลดลงตามทิศทางดอกเบี้ยขาลงเช่นกัน เช่น กองทุนKFSMARTแนะนำลงทุนตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป เนื่องจากแนวโน้มดอกเบี้ยไทยยังอยู่ในทิศทางขาลง และดอกเบี้ยนโยบายยังมีโอกาสปรับลดลงสู่ระดับ 1.00% ได้ภายในครึ่งแรกของปี 2569

ส่วนนักลงทุนที่สามารถถือครองได้ 1-2 ปีขึ้นไป เป็นเงินลงทุนที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น สามารถลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มี Duration 1–3 ปี เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง เช่น กองทุน KFAFIXแนะนำลงทุนตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และนักลงทุนที่มีความเข้าใจและรับความเสี่ยงได้สูงขึ้น อาจเพิ่มการลงทุนในตราสารหนี้ที่มี Duration 3–7 ปี เช่น กองทุน KFENFIX โดยแนะนำถือครอง 2 ปีขึ้นไป หรือจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนเฉพาะทาง เช่น ESG Bond Fund ซึ่งกองทุนประเภทที่มี Duration ยาวถึงประมาณ 10 ปี ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งเป็นดอกเบี้ยขาลง สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดหุ้นในบางช่วงเวลา แต่ก็จะมีความผันผวนสูงมากเช่นกัน

ทั้งนี้ กองทุนตราสารหนี้ที่บริหารแบบ Active จะมีโอกาสที่ดีกว่าในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นภายในกรอบระยะเวลาการลงทุนที่แนะนำ และกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอาจจะให้ผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะสั้นเท่านั้น แต่ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มตามรอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ หากอ้างอิงจากการคาดการณ์ของ บลจ.กรุงศรี ที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะอยู่ในช่วง 0.75 – 1.25% ในช่วงปี 2568 – 2570 ดังนั้นจึงยังแนะนำให้ถือครอง KFAFIX และมองหาโอกาสในการทยอยเพิ่มการลงทุนเมื่อตัว NAV ปรับลดลง” น.ส.พรทิพากล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.ย. 68)