
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (25 ก.ย.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งทำให้แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เผชิญกับความไม่แน่นอน ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,947.32 จุด ลดลง 173.96 จุด หรือ -0.38%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,604.72 จุด ลดลง 33.25 จุด หรือ -0.50% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,384.70 จุด ลดลง 113.16 จุด หรือ -0.50%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยการประมาณการครั้งที่ 3 ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2568 โดยระบุว่า GDP ขยายตัว 3.8% ในไตรมาสดังกล่าว สูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ที่ระดับ 3.0% และ 3.3% ตามลำดับ เนื่องจากความแข็งแกร่งของการใช้จ่ายผู้บริโภคและการลงทุนในภาคเอกชน
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 218,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 20 ก.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 235,000 ราย ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนดีดตัวขึ้น 2.9% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 0.3% หลังจากร่วงลง 2.7% ในเดือนก.ค.
ทางด้านออสติน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโกกล่าวเมื่อวานนี้ว่า เขารู้สึกกังวลกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่รวดเร็วเกินไป เนื่องจากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ขณะที่เจอโรม พาวเวล ได้แสดงความเห็นเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า เฟดจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการจ้างงาน
การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวและการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟด มีขึ้นหลังจากคณะกรรมการเฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ก.ย. ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2567 หลังมีข้อมูลบ่งชี้ถึงความอ่อนแอในตลาดแรงงาน นอกจากนี้ เฟดได้ส่งสัญญาณในรายงานคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้
อย่างไรก็ดี ล่าสุด FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 83.4% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนต.ค. ซึ่งลดลงจากระดับ 92% ในวันพุธ
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ร่วงลง 1.67% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยร่วงลง 1.47% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 0.9% และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขยับขึ้น 0.03%
หุ้นอินเทล (Intel) พุ่งขึ้น 8.9% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า อินเทลได้ติดต่อไปยังบริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง โค (TSMC) เพื่อเจรจาเกี่ยวกับการลงทุนในด้านการผลิตหรือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ
หุ้นคาร์แมกซ์ (CarMax) ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรถยนต์มือสอง ร่วงลง 20.1% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรลดลงในไตรมาส 2
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันนี้อย่างใกล้ชิด โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี PCE ทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนก.ค. และคาดว่าดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 2.9% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.9% เช่นเดียวกันในเดือนก.ค.
ตลาดจับตาความเสี่ยงที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะถูกชัตดาวน์ในช่วงสิ้นเดือนนี้ โดยล่าสุดมีรายงานว่าทำเนียบขาวมีคำสั่งให้หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลกลาง จัดทำแผนปลดพนักงานครั้งใหญ่ หากสมาชิกสภาคองเกรสไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับงบประมาณจนนำไปสู่การชัตดาวน์ในช่วงสิ้นเดือนนี้ โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวนับเป็นการเปลี่ยนแนวทาง จากเดิมที่ทำเพียงสั่งให้พนักงานหยุดงานชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในการชัตดาวน์ครั้งก่อน ๆ
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นความพยายามของทำเนียบขาวที่จะใช้การชัตดาวน์เป็นโอกาสผลักดันนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการลดขนาดกำลังคนของรัฐบาลกลาง หรือเป็นเพียงกลยุทธ์บีบให้พรรคเดโมแครตยอมผ่านร่างกฎหมายงบประมาณของพรรครีพับลิกัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ก.ย. 68)