
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสากลระยะยาว (International Long-Term Issuer Default Rating: IDR) ของ บมจ. ปตท. [PTT] และบมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม [PTTEP] เป็นลบ จากเดิมแนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ และคงอันดับเครดิตของทั้งสองบริษัท และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันของปตท.สผ. ที่ ‘BBB+’
การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของ ปตท. สอดคล้องกับการที่ฟิทช์ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยเป็นลบ จากเดิมแนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ขณะที่คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568
ทั้งนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่มีความสัมพันธ์กับภาครัฐฯ (Government-Related Entities Rating Criteria) อันดับเครดิตสากลระยะยาว และแนวโน้มอันดับเครดิตของ ปตท.ไม่สามารถอยู่สูงกว่าอันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศได้ เนื่องจากไม่มีโครงสร้างที่จำกัดสิทธิของภาครัฐฯในการเข้าถึงเงินสดและสินทรัพย์ของ ปตท. ดังนั้นการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศจึงส่งผลโดยตรงต่อ ปตท.
ส่วนการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของ ปตท.สผ. สะท้อนการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทแม่ คือ ปตท. เนื่องจากอันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของ ปตท.สผ. อยู่ในระดับเดียวกันกับ ปตท. โดยอ้างอิงจากการประเมินของฟิทช์ว่าปตท.มีแรงจูงใจเชิงกลยุทธ์และด้านการดำเนินงาน ในการให้การสนับสนุน ปตท.สผ.ที่อยู่ในระดับสูง (High) ภายใต้หลักเกณฑ์ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทย่อย (Parent and Subsidiary Linkage Rating Criteria)
แนวโน้มของอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของ ปตท. ไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากอันดับเครดิตภายในประเทศเป็นการวัดความน่าเชื่อถือสัมพัทธ์ระหว่างประเทศและผู้ออกตราสารอื่นภายในประเทศไทย
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
– แรงจูงใจภาครัฐฯ ในการให้การสนับสนุนปตท.: ฟิทช์มองว่าบทบาทของปตท. ในการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐฯ
นอกจากนี้ ฟิทช์มองว่าผลกระทบต่อการกู้ยืมของภาครัฐฯในกรณีที่ปตท. ผิดนัดชำระหนี้ (Contagion risk) อยู่ในระดับสูงมากเช่นกัน เนื่องจากฟิทช์มองว่า ปตท. เปรียบเสมือนตัวแทนของภาครัฐฯ และรัฐวิสาหกิจ ที่มีการกู้เงินและออกหุ้นกู้ ดังนั้นการผิดนัดชำระหนี้ของปตท.จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการกู้ยืมเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ และต้นทุนทางการเงินของภาครัฐฯ และรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ด้วย
– ความรับผิดชอบของภาครัฐฯ ในการให้การสนับสนุนปตท.: ฟิทช์ประเมินเรื่องการดูแลและการควบคุม (Decision-making
ฟิทช์เชื่อว่าการที่ภาครัฐฯ ได้มีการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่รัฐวิสาหกิจในธุรกิจไฟฟ้าซึ่งเป็นธุรกิจที่สำคัญต่อประเทศเช่นเดียวกันกับธุรกิจพลังงาน น่าจะทำให้เชื่อได้ว่าภาครัฐฯ น่าจะให้การสนับสนุนแก่ปตท.เช่นกันในกรณีที่บริษัทฯ มีความต้องการ แม้ว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทฯ เนื่องจากปตท.มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
แรงจูงใจของ ปตท. ในการสนับสนุน ปตท.สผ.: ฟิทช์เชื่อว่า ปตท. มีแรงจูงใจเชิงกลยุทธ์ในระดับสูง (High) ในการสนับสนุน
แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจากโครงสร้างการบริหารและการใช้แบรนด์สินค้าร่วมกัน (Management and Brand
โดยมีการสับเปลี่ยนกรรมการและผู้บริหารระหว่างบริษัทย่อยในเครือ ปตท. อย่างสม่ำเสมอ รวมถึง ปตท.สผ. นอกจากนี้
ความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมของสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ที่เพียงพอสำหรับ
ในช่วงสองสามปีข้างหน้า แม้โครงสร้างทางการเงินจะอ่อนแอลงจากสถานะที่มีเงินสดมากกว่าหนี้สินในปัจจุบัน
– ความสามารถในการทำกำไรที่มั่นคง: ปตท.สผ. มี EBITDA และอัตรากำไรที่ดีกว่าคู่แข่งที่มีการพึ่งพาน้ำมันดิบสูงกว่า โดย
ความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมของของสถานะเครดิตโดยลำพังของ ปตท. ที่ยังอยู่ในระดับแข็งแกร่ง: ฟิทช์คาดว่าสถานะทางการเงินของ ปตท. จะยังคงสอดคล้องกับสถานะเครดิตโดยลำพังที่ระดับ ‘bbb+’ แม้ว่าความสามารถในการรองรับหนี้สินจะปรับตัวลดลง โดยคาดว่าอัตราส่วน EBITDA net leverage จะปรับขึ้นมาอยู่ราว 1.9-2.0 เท่า ในปี 2568-2569 จาก 1.6 เท่า ในปี 2567
แต่ระดับอัตราส่วนหนี้สินยังคงสอดคล้องกับสถานะเครดิตโดยลำพังปัจจุบันของ ปตท. ที่ ‘bbb+’ ฟิทช์คาดว่า EBITDA
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ย. 68)