
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันจันทร์ (6 ต.ค.) แต่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ดีดตัวขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวเซส (AMD) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปชั้นนำของสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงทางธุรกิจกับโอเพนเอไอ (OpenAI) เจ้าของ ChatGPT ซึ่งเป็นแชตบอตระดับโลก โดยข่าวดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนบรรยากาศการซื้อขายในตลาด แม้ว่าการปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือชัตดาวน์ จะยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 6 แล้วก็ตาม
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,694.97 จุด ลดลง 63.31 จุด หรือ -0.14%,
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,740.28 จุด เพิ่มขึ้น 24.49 จุด หรือ +0.36% และ
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,941.67 จุด เพิ่มขึ้น 161.16 จุด หรือ +0.71%
หุ้นกลุ่มบริษัทผลิตชิปพุ่งขึ้นนำตลาด หลังจาก AMD ประกาศว่าจะจัดหาชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้กับ OpenAI ภายใต้ข้อตกลงที่จะสามารถสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี และจะเปิดทางให้ OpenAI ซื้อหุ้นในบริษัท AMD ได้สูงถึง 10%
ทั้งนี้ OpenAI จะติดตั้งหน่วยประมวลผลกราฟิก Instinct ของ AMD ขนาด 6 กิกะวัตต์ภายในระยะเวลาหลายปี และจะครอบคลุมฮาร์ดแวร์หลายเจเนอเรชัน โดยโครงการดังกล่าวจะเริ่มต้นด้วยการติดตั้งชิปขนาด 1 กิกะวัตต์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2569
ข่าวดังกล่าวส่งผลให้หุ้น AMD ทะยานขึ้น 23.7% และเป็นปัจจัยหนุนดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia SE Semiconductor Index) พุ่งขึ้น 2.9%
นักวิเคราะห์จากบริษัท Dakota Wealth กล่าวว่า นักลงทุนมองเห็นแนวโน้มที่แข็งแกร่งของหุ้นบางกลุ่ม เช่นกลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าฟุ่มเฟือย แม้ในยามที่ตลาดเผชิญข่าวลบจากการที่หน่วยงานของรัฐบาลถูกชัตดาวน์ โดยนักลงทุนยังคงให้ความสนใจกับดีลการค้าในหมู่บริษัท AI ตลอดจนบรรดาบริษัทที่สนับสนุนและใช้งาน AI
หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกชัตดาวน์เป็นวันที่ 6 แล้วในขณะนี้ เนื่องจากสมาชิกพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันในสภาคองเกรสยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณชั่วคราว ซึ่งการชัตดาวน์ส่งผลให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญต้องถูกเลื่อนออกไป ทำให้นักลงทุนต้องหันไปพึ่งพาข้อมูลจากภาคเอกชนเพื่อประเมินแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการสินเชื่อที่อยู่อาศัย และผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน
แม้เจ้าหน้าที่เฟดยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยเจ้าหน้าที่บางคนแสดงท่าทีระมัดระวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมเนื่องจากเงินเฟ้อยังสูง ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกหลายคนเชื่อว่าสัญญาณที่อ่อนแอของตลาดแรงงานถือเป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก อย่างไรก็ดี ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 94.6% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนต.ค.
ส่วนในสัปดาห์หน้า คาดว่ารายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2568 ของบริษัทจดทะเบียนจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประกอบการจากธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของ LSEG คาดการณ์ว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทในดัชนี S&P500 จะเพิ่มขึ้น 8.8%
สำหรับหุ้นรายตัวนั้น หุ้น Tesla พุ่งขึ้น 5.5% หลังจากบริษัทประกาศจัดงานอีเวนต์ในวันนี้ (7 ต.ค.) ขณะที่นักวิเคราะห์คาดเทสลาอาจจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาถูกในงานอีเวนต์นี้ เพื่อรับมือกับยอดขายที่ชะลอตัวลง
หุ้น Starbucks ร่วงลง 5% หลังจากนักวิเคราะห์ของ TD Cowen ได้ปรับลดเป้าหมายราคาหุ้น Starbucks โดยระบุว่าตลาดแรงงานที่อ่อนแอกำลังส่งผลกระทบต่อคนรุ่น Gen Z
ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นทะลุระดับ 125,000 ดอลลาร์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (5 ต.ค.) ส่งผลให้หุ้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซีทะยานขึ้น ซึ่งรวมถึงหุ้น Coinbase, หุ้น Strategy, หุ้น Riot Platforms และหุ้น MARA Holdings
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ต.ค. 68)