3 นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น-อเมริกัน คว้ารางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ประจำปี 2568

ศาสตราจารย์ชิมอน ซากากุจิ นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น และนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันอีก 2 ราย ได้แก่ แมรี อี.บรังเคา และ เฟรด แรมส์เดล คว้ารางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ประจำปี 2568 จากผลงานการค้นพบเชิงปฏิวัติที่ช่วยอธิบายกลไกการควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

คณะกรรมการรางวัลโนเบลแห่งสถาบันคาโรลินสกาแถลงเมื่อวันจันทร์ (6 ต.ค) ว่า การค้นพบของทั้งสามได้นำไปสู่การก่อกำเนิดแขนงวิทยาการด้านกลไกของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานในอวัยวะส่วนนอกของร่างกาย (peripheral tolerance) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญต่อการพัฒนายารักษาโรคมะเร็งและโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (autoimmune disease)

ศาสตราจารย์ซากากูจิ วัย 74 ปี จากมหาวิทยาลัยโอซากา เป็นผู้ค้นพบว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Regulatory T cell หรือ Treg มีหน้าที่ควบคุมไม่ให้เซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดอื่นโจมตีเซลล์ปกติของร่างกายที่บางครั้งอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” ซากากุจิกล่าวต่อสื่อมวลชนหน้าห้องทดลองที่มหาวิทยาลัยโอซากา หลังการประกาศรางวัล

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ซากากุจิเป็นผู้เสนอทฤษฎีว่า ร่างกายควรมีเซลล์ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ยับยั้งการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่มากเกินไป โดยอ้างอิงจากการทดลองในหนูที่พบว่า หากตัดต่อมไทมัส ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันออก หนูจะเกิดโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง

แม้แนวคิดของเขาจะถูกคัดค้านจากนักวิทยาศาสตร์หลายคนในช่วงแรก แต่ซากากุจิก็ยังคงเดินหน้าวิจัย จนค้นพบโมเลกุลเฉพาะของเซลล์ Treg ได้สำเร็จในปี 2538

ต่อมาในปี 2544 แมรี อี. บรังเคา และเฟรด แรมส์เดล นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐฯ พบการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง และซากากุจิเป็นผู้ยืนยันในภายหลังว่ายีนดังกล่าวควบคุมการสร้างเซลล์ที่เขาค้นพบเมื่อปี 2538

ทั้งนี้ นับเป็นปีที่สองติดต่อกันที่มีชาวญี่ปุ่นหรือกลุ่มนักวิจัยจากญี่ปุ่นได้รับรางวัลโนเบล หลังจากที่ปีที่แล้ว นิฮง ฮิดังเคียว (Nihon Hidankyo) ซึ่งเป็นองค์กรของผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูในญี่ปุ่นได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ส่งผลให้ปัจจุบัน ญี่ปุ่นมีผู้ได้รับรางวัลโนเบลแล้วทั้งสิ้น 30 ราย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ต.ค. 68)