ราคาช็อกโกแลตแพงเว่อร์! ฮาโลวีนปีนี้กระเป๋าฉีก หลังโกโก้ขาดตลาด

สถาบันอาหารและเกษตรของเวลส์ ฟาร์โก (Wells Fargo) รายงานว่า ผู้บริโภคช็อกโกแลตในสหรัฐฯ อาจต้องเผชิญกับราคาช็อกโกแลตที่สูงขึ้นในช่วงวันฮาโลวีนปีนี้ เนื่องจากราคาโกโก้ตั้งแต่ต้นปี 2567 เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว แม้ราคาโกโก้ลดลงจากจุดสูงสุดในช่วงปลายปี 2567 แต่ผู้ผลิตยังคงผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภค บริษัทต่าง ๆ ลดสายผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล และปรับใช้กลยุทธ์ shrinkflation โดยลดขนาดบรรจุภัณฑ์แต่คงราคาขายไว้

ราคาโกโก้ที่พุ่งสูงขึ้นเกิดจากปัญหาชะงักงันด้านอุปทานอย่างรุนแรงในแอฟริกาตะวันตก ซึ่งผลิตโกโก้ประมาณ 70% ของโลก โดยภาวะฝนตกหนักในปลายปี 2566 ทำให้เกิดโรคฝักดำ (black pod disease) และผลผลิตเน่าเสีย ขณะที่ภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญในปี 2567 ทำให้การระบาดของโรคไวรัสที่ทำให้ต้นโกโก้ติดเชื้อและเกิดอาการบวมที่ลำต้นและกิ่ง (cocoa swollen shoot virus – CSSV) เพิ่มมากขึ้น

องค์การโกโก้ระหว่างประเทศ (ICO) รายงานว่า ผลผลิตโกโก้ทั่วโลกลดลง 12.9% เมื่อเทียบปีต่อปี อยู่ที่ 4.37 ล้านตันในฤดูกาลผลิตล่าสุด ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนอุปทาน 494,000 ตัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 60 ปี โดยการผลิตในไอวอรีโคสต์ ลดลง 25.3% ขณะที่ผลผลิตของกานาลดลง 31.3%

เวลส์ ฟาร์โก ระบุว่า สถานการณ์ยังคงท้าทาย โดยอ้างการประเมินเบื้องต้นของผู้ส่งออกโกโก้ว่า ผลผลิตในปีการผลิต 2568/2569 ที่เริ่มในเดือนต.ค. อาจลดลง 10% ใน 4 ประเทศผู้ผลิตหลักของแอฟริกาตะวันตก

รายงานระบุว่า มีความเป็นไปได้ว่า ราคาโกโก้จะยังสูงต่อเนื่องอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีการผลิตถัดไปในเดือนก.ย. 2569 เนื่องจากเกิดภาวะขาดแคลนโกโก้ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

นอกจากนี้ ภาษีนำเข้าที่เพิ่งบังคับใช้กับผู้ส่งออกโกโก้และผลิตภัณฑ์โกโก้ไปยังสหรัฐฯ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยแหล่งส่งออกหลักของสหรัฐฯ ได้แก่ เอกวาดอร์ ไอวอรีโคสต์ สาธารณรัฐโดมินิกัน และกานา ซึ่งทั้งหมดถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) ระหว่าง 15%–25% ซึ่งผู้นำเข้าและผู้ผลิตช็อกโกแลตของสหรัฐฯ ต้องจ่ายเงินเพิ่มเมื่อนำเข้าเมล็ดโกโก้หรือผลิตภัณฑ์ข้างเคียง เช่น เนยโกโก้ หรือผงโกโก้

นักวิเคราะห์ของเวลส์ ฟาร์โก แนะนำว่า ผู้บริโภคควรปรับพฤติกรรมการซื้อขนมเพื่อลดผลกระทบจากราคาที่สูงขึ้นได้แก่ การเลือกขนมที่มีโกโก้น้อยลง เปรียบเทียบราคาระหว่างร้านค้า และพิจารณาซื้อสินค้าทั่วไปแทนสินค้าติดแบรนด์เพื่อประหยัดเงิน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ต.ค. 68)