
“SME D Bank” หนุนเอสเอ็มอีไทยเต็มกำลัง เผย 3 ไตรมาส พาถึงแหล่งทุนกว่า 5.7 หมื่นลบ. สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 262,600 ล้านบาท แก้ไข NPLs มีประสิทธิภาพ ลดลงต่อเนื่อง ประกาศเดินหน้าสานต่อ ปีนี้พาถึงแหล่งทุนรวมกว่า 75,000 ล้านบาท ปลุกพลังเศรษฐกิจไทย สอดรับนโยบาย “Quick Big Win”
นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ท่ามกลางปัจจัยท้าทายทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษีนำเข้าสหรัฐฯ การไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศ ปัญหาภัยธรรมชาติ และสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นต้น ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย
ดังนั้น SME D Bank สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ มุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญของภาครัฐในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ไทยให้ก้าวข้ามวิกฤต ผ่านมาตรการ “3 ลด ปลดหนี้” ได้แก่
1. ลดผ่อน ปรับวงเงินการผ่อนชำระ ตามความสามารถของกิจการ
2. ลดเงินต้น ปรับโครงสร้าง เพิ่มความยืดหยุ่นให้ธุรกิจ นำเงินค่างวดมาชำระตามเงื่อนไขของธนาคาร
3. ลดดอกเบี้ยค้างชำระ เมื่อชำระตามเงื่อนไขของธนาคารหรือปิดบัญชี ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนลูกค้าในการฟื้นฟูและปรับปรุงธุรกิจ รวมถึงการให้คำปรึกษาแผนธุรกิจใหม่
สำหรับในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 SME D Bank สนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs รวมกว่า 15,300 ราย เข้าถึงแหล่งทุนกว่า 57,300 ล้านบาท สูงกว่า 35.6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 262,600 ล้านบาท ควบคู่กับช่วยพัฒนาครบวงจร โดยเฉพาะมุ่งเพิ่มรายได้ ขยายช่องทางตลาด ลดต้นทุน ส่งเสริมปรับตัวพร้อมเข้าสู่ระบบบัญชีภาษี และยกระดับธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล ผ่านกิจกรรมออนไซต์ควบคู่ออนไลน์ ด้วยแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th)

นอกจากนั้น ยังช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบาง พลิกฟื้นปรับปรุงกิจการกลับมาดำเนินธุรกิจกว่า 16,000 ราย คิดเป็นวงเงินกว่า 33,590 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมบริหารจัดการสินเชื่อไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) มีประสิทธิภาพ ลดลงเหลือ ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2568 ประมาณ 8.7% โดยเป็น NPL หลังออกจากแผนพื้นฟูเมื่อปี 2558 เพียง 3.8% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย NPLs สินเชื่อ SMEs ในระบบธนาคารพาณิชย์ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 7.8%
นายพิชิต กล่าวว่า ในส่วน NPL ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว มาจากการปรับกระบวนการช่วยเหลือให้เร็วยิ่งขึ้นและตรงจุดมากขึ้น โดยใช้เครื่องมือในการบริหารจัดการด้านความเสี่ยงเข้ามาร่วมด้วย ทำให้มีสัญญาณเตือนภัยให้กับลูกค้า สามารถช่วยเหลือลูกค้าได้เร็วมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญ เราใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น เพื่อให้เข้าใจว่า ลูกค้าเจอปัญหาหรืออุปสรรคอะไรจะได้แก้ปัญหาได้ตรงจุด รวมถึง SME D Bank ประคับประคองการชำระหนี้ลูกค้าให้มีความสม่ำเสมอภายใต้ความสามารถของลูกค้าในแต่ละกิจการ
สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ SME D Bank เดินหน้าช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs อย่างอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาลที่มุ่งกระตุ้นระยะสั้น ได้ผลยาว และเกิดการกระจายตัว โดยตั้งเป้าพาผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนกว่า 75,000 ล้านบาท ช่วยเสริมสภาพคล่อง ผ่านสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษคงที่ 3% ต่อปี ตลอด 3 ปีแรก ก่อให้เกิดการกระจายประโยชน์เงินหมุนเวียนสู่เศรษฐกิจฐานรากทั่วประเทศกว่า 343,500 ล้านบาท รักษาการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจกว่า 164,800 ราย ควบคู่กับช่วยเหลือด้านงานพัฒนาครบวงจร ผ่านการพาเข้าถึงบริการแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank รวมกว่า 42,000 ราย
สำหรับแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในช่วงไตรมาส 4/2568 คาดว่าจะปล่อยสินเชื่อสนับสนุน SMEs ได้ราว 20,000 ล้านบาท หลังจาก 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ก.ย.) สามารถปล่อยสินเชื่อได้แล้วกว่า 57,300 ล้านบาท ซึ่งมองว่าหากแนวโน้มเศรษฐกิจยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยไม่มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมเข้ามากระทบ ก็เชื่อว่าธนาคารจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย
“ถ้าเศรษฐกิจไม่ได้มีความผันผวนรุนแรง การบริหารจัดการ SMEs หรือ NPL น่าจะอยู่ในแผนของรัฐบาลที่สามารถควบคุมได้เป็นอย่างดี…ไตรมาส 4 ที่วางแผนไว้ จะเน้นการขับเคลื่อนสินเชื่อที่ช่วยเหลือ SMEs เพราะเราได้ทำแผนการตลาดไว้ในระดับหนึ่งแล้ว โดยจะให้ SME D Bank ใน 99 สาขาทั่วประเทศ มีการประสานงานติดต่อกับลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายในระดับหนึ่งแล้ว และมีการขับเคลื่อนให้เร็วยิ่งขึ้น…มาตรการสำคัญ ๆ ของรัฐบาลจะช่วยให้ SMEs มีโอกาสขยายธุรกิจ และช่วยในเรื่องที่ทำให้ลูกค้าจะได้บริการต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เรามองว่าการทำงานของ SME D Bank จะขับเคลื่อนได้เร็วมากขึ้น จะกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ภายใต้บริบทการสนับสนุนของรัฐบาล” นายพิชิต กล่าว
นายพิชิต ยืนยันว่า สำหรับโรงแรมที่จะมีการปรับปรุงอาคาร สถานที่ หรือ ร้านค้าที่เข้าโครงการคนละครึ่ง สามารถมากู้เงินกับ SME D Bank ได้ เพราะธนาคารมีผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์ SMEs ได้ เช่น สินเชื่อสำหรับขยายหรือปรับปรุงกิจการ หรือ ต้องการเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งได้เตรียมไว้รองรับเพื่อให้ SMEs สามารถเข้าถึงทุนและครอบคลุมความจำเป็นในการทำธุรกิจในช่วงนี้
ส่วนผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่จะมีต่อผู้ประกอบการ SMEs ของไทยนั้น นายพิชิต ยอมรับว่า ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการบ้าง แต่ไม่มากนัก โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่เป็นซัพพลายเชนของธุรกิจใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมา ธนาคารได้ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในหลายเรื่องเพื่อให้ SMEs ไทยเข้มแข็งมากขึ้น และสามารถปรับตัวได้ ยกระดับตัวเองขึ้นได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบที่รุนแรง
ทั้งนี้ ธนาคารฯ จะดูแลผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบางอย่างใกล้ชิด ประคับประคองธุรกิจให้ก้าวข้ามผ่านความยากลำบากพลิกฟื้นกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ต.ค. 68)





