โชว์ผลงานปราบสแกมเมอร์! นายกฯ นำทีมแถลงยกระดับวาระแห่งชาติ ตร.ลุยกวาดล้างกว่า 7 พันคดี

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการแถลงข่าวการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้ชื่อ “รวมพลังคนไทย ต้านภัยสแกมเมอร์” (United Thailand Against Scammers) ซึ่งเป็นไปตามที่ได้สั่งการให้ยกระดับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นวาระแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 21 ต.ค.68 โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้ยกระดับงานดังกล่าวให้เป็นภารกิจเร่งด่วน ที่ต้องดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และสั่งการให้ตำรวจทุกหน่วยในสังกัด ระดมสรรพกำลังทำการป้องกันและปราบปรามในทุกมิติอย่างเข้มข้น

นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า รัฐบาลได้จัดตั้งคณะอำนวยการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีขึ้น โดยมีตนเป็นประธาน และรวมอีก 15 องค์กร เพื่อเปลี่ยนจากการตั้งรับมาเป็นการรุกไล่ ติดตามผลงานของเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างชัดเจน อาทิ การอายัดทรัพย์สินหลายหมื่นล้านบาท การเพิกถอนวีซ่า และการกำจัดบัญชีม้าจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดนี้คือผลลัพธ์จากการมุ่งมั่นปราบปรามอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงประเด็นที่ประชาชนตั้งข้อสงสัยว่า มีคนของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมลักษณะนี้หรือไม่ โดยยืนยันว่า รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจและรับฟังทุกเสียงสะท้อน พร้อมกำชับให้ผู้บังคับบัญชาของทุกหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่ และขอความร่วมมือประชาชนให้ส่งข้อมูลหากพบว่ามีนักการเมือง หรือเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปพัวพัน เพื่อจะดำเนินการอย่างเฉียบขาดและเด็ดขาด ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น

โดยยืนยันในฐานะหัวหน้ารัฐบาลว่า “เรื่องนี้เคลียร์ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่มีการเคลียร์” แต่จะดูจากพฤติกรรม และความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสำคัญ พร้อมให้คำมั่นว่า จะสนับสนุนภารกิจของตำรวจอย่างเต็มที่

ด้าน พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) เชื่อมั่นว่า หากได้รับความร่วมมืออย่างจริงใจจาก 3 ประเทศที่เป็นฐานที่ตั้งของสแกมเมอร์ จะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างถาวร ตำรวจไทยจะเชิญชวนประเทศพันธมิตรลงพื้นที่ตรวจสอบ เพื่อสร้างรูปแบบนานาชาติร่วมกันกดดัน นอกจากนี้ ยังมองว่าวิธีการตัดระบบสาธารณูปโภค จะเป็นอีกแนวทางที่ช่วยยุติการทำงานของกระบวนการ Call Center ไม่ให้ทำการหลอกลวงนานาประเทศได้

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า แม้ประเทศที่ตั้งสแกมเมอร์จะยังไม่ร่วมมือ ตำรวจไทยก็จะไม่นิ่งเฉย โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้งวอร์รูมรวมตำรวจทุกหน่วยงาน ภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่างประเทศเข้ามาช่วยเหลือกัน เนื่องจากอาชญากรรมประเภทนี้ไร้ขอบเขต ซึ่งความร่วมมือภาคส่วนทั้งภายใน และภายนอกประเทศ จะนำไปสู่ความสำเร็จในการปราบปราม แม้จะต้องใช้เวลา แต่ยืนยันว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้เห็นพัฒนาการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นแล้ว

  • โชว์ผลการปฏิบัติงานในรอบเกือบ 1 เดือน

ในส่วนของการปราบปราม มีผลการปฏิบัติในช่วงระดมกวาดล้าง ล่าสุดห้วงวันที่ 27 ต.ค. – 8 พ.ย.68 (รวม 13 วัน) สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวม 7,044 คดี ผู้ต้องหา 7,174 คน โดยเป็นการจับกุมคดีสำคัญที่เป็นองค์กรเครือข่ายรวม 90 คดี ผู้ต้องหา 315 คน, คดี 14 ประเภท รวม 2,580 คดี ผู้ต้องหา 2,432 คน และคดีเกี่ยวกับซิมผี-บัญชีม้า รวม 795 คดี ผู้ต้องหา 759 คน นอกจากนี้ ยังมีการจับกุมอุปกรณ์การสื่อสารผิดกฎหมาย เช่น SIMBOX, False base station 11 คดี ผู้ต้องหา 7 คน

พร้อมทั้งสำรวจเสาส่งสัญญาณ และสายสัญญาณอินเทอร์เน็ต บริเวณแนวชายแดนทั่วประเทศ รวม 1,575 จุด และ 105 จุด ตามลำดับ เพื่อส่งข้อมูลให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ดำเนินการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายต่อไป

สำหรับผลการปฏิบัติที่สำคัญ คือ การดำเนินการติดตามเงินคืนให้กับผู้เสียหาย (Money Cash Back) โดยติดตามเงินคืนได้ รวม 234 ราย และจับกุมผู้ต้องหาได้ 224 คน ซึ่งในวันนี้ มีผู้เสียหายเดินทางมารับเงินคืนในงานแถลงข่าวรวม 31 ราย เป็นเงินรวม 14,604,248 บาท โดยนับตั้งแต่เริ่มโครงการ (ก.พ.68 – ปัจจุบัน) สามารถคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้แล้ว 322 ราย เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 312,014,202.15 บาท

นอกจากนี้ ยังมีการสกัดกั้นคนไทยที่จะเดินทางออกนอกประเทศ เพื่อไปร่วมขบวนการ Scammer ได้ 123 ครั้ง รวม 201 คน และปฏิบัติการขยายผลเส้นทางการเงินต้องสงสัยจากศูนย์ War Room รวม 128 ราย ผู้ต้องหา 133 คน ขณะเดียวกัน ในช่วงวันที่ 1-8 พ.ย.68 มีการระดมจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ 965 คน และจับกุมคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น การพนันออนไลน์, จำหน่ายอาวุธปืนออนไลน์ รวม 3,083 คดี ผู้ต้องหา 3,103 คน

ส่วนของการปราบปรามการพนันออนไลน์ และสื่อผิดกฎหมาย ตำรวจได้สืบสวนจับกุมเว็บไซต์ แพลตฟอร์ม และผู้โฆษณาชักชวน โดยเฉพาะอินฟูลเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง โดยห้วงวันที่ 1-8 พ.ย.68 จับกุมผู้จัดให้มีการเล่น และผู้โฆษณาชักชวนบนสื่อออนไลน์ ได้ 22 ราย ผู้ต้องหา 27 คน ซึ่งในภาพรวมระหว่างวันที่ 1 ต.ค.-8 พ.ย.68 ได้จับกุมเครือข่ายการพนันออนไลน์รายใหญ่ 26 ราย ผู้ต้องหา 196 คน ตรวจยึดทรัพย์สิน 41,720,000 บาท

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอปิดกั้นเว็บไซต์การพนันออนไลน์รวม 38,394 URL และปิดแพลตฟอร์มการพนันออนไลน์ และที่ผิดกฎหมายอื่น ๆ (Facebook/YouTube/X/TikTok/Line) รวม 8,802 ครั้ง ในห้วงวันที่ 1 ต.ค.-5 พ.ย.68

ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะยกระดับในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้นและบังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด พร้อมขอให้พี่น้องประชาชน เชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย ที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อปราบปรามและสกัดกั้นอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือกลุ่มแก๊งหลอกลวงออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ (สแกมเมอร์) รวมทั้งเครือข่ายการพนันออนไลน์ ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อพี่น้องประชาชน และระบบเศรษฐกิจของประเทศ

“ตำรวจขอขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน และร่วมเป็นกำลังสำคัญในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีด้วยดีตลอดมา พร้อมยืนยันที่จะทำงานด้วยความโปร่งใส เข้มแข็ง และมุ่งมั่น เพื่อความผาสุกและความปลอดภัยในสังคมออนไลน์ของประชาชนทุกคน” พล.ต.ท.จิรภพ ระบุ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 พ.ย. 68)