
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) เผยความคืบหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ลงมติเพื่อหาข้อสรุปในหลายประเด็นสำคัญเกี่ยวกับกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งการมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเป็นสิ่งที่พรรคฯ เรียกร้องมาตลอด และเป็นสิ่งที่หลายพรรคเคยเห็นตรงกัน แต่เมื่อมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 เมื่อวันที่ 10 ก.ย.68 ที่ห้ามไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง ส่งผลให้ไม่มีพรรคการเมืองใดสามารถเสนอ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้อีกต่อไป และทั้ง 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ 3 พรรคการเมืองหลักที่ถูกพิจารณาในวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 14-15 ต.ค.68 ก็ไม่มีร่างไหนที่เสนอให้มี สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง
ทั้งนี้ ร่างของ ปชน.ที่รัฐสภามีมติให้ใช้เป็นร่างหลักในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ มี 2 หลักการที่เราให้ความสำคัญคือ (1) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มากที่สุด โดยไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ (2) ป้องกันการผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่ง
โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการฯ มีการลงมติเกี่ยวกับ 3 ข้อเสนอหลักในร่างของพรรคประชาชนที่พยายามมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว ประกอบด้วย
1.สภาที่ปรึกษาที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน : ด้วยข้อจำกัดของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้กลไกใดๆ ก็ตามที่มีหน้าที่ในการร่างรัฐธรรรมนูญ ไม่สามารถมาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้ ปชน.จึงออกแบบกลไก “สภาที่ปรึกษา” ที่ไม่ได้มีอำนาจในการร่าง แต่มีอำนาจในการรับฟังรวบรวมความเห็นของประชาชน เมื่อเป็นเช่นนี้ สภาที่ปรึกษาจึงเป็นกลไกเดียวในบรรดาทุกร่างที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แต่น่าเสียดายที่คณะกรรมาธิการฯ มีมติให้ตัดสภาที่ปรึกษาออก โดยมีแค่กรรมาธิการ 8 คนจาก ปชน.ที่ลงมติให้คงสภาที่ปรึกษาไว้ ส่วนอีก 23 คนเห็นควรให้ตัดออก และ 3 คนงดออกเสียง
2.การเปิดให้ประชาชนเข้าคูหาเลือกตั้งเพื่อคัดกรองผู้ร่างมาเบื้องต้นก่อนส่งให้รัฐสภาคัดเลือก : ร่างของ ปชน.เสนอให้ประชาชนเลือกตั้งผู้ร่างให้เหลือ 70 คน โดยใช้ระบบเลือกตั้งคล้ายกับ สส.บัญชีรายชื่อ ก่อนจะส่งต่อให้รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน แต่น่าเสียดายที่คณะกรรมาธิการมีมติให้ตัดกลไกดังกล่าวออก โดยมีแค่กรรมาธิการ 8 คนจาก ปชน.ที่ลงมติให้คงกลไกดังกล่าวไว้ อีก 14 คนเห็นควรให้ตัดออก และ 12 คนงดออกเสียง
3.การให้รัฐสภาคัดเลือกผู้ร่างโดยใช้สูตร “20 หยิบ 1” แทนการใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก : สำหรับสูตร 20 หยิบ 1 นั้นคือการกำหนดว่าในเมื่อสมาชิกรัฐสภามี 700 คน และผู้ร่างมี 35 คน จึงควรให้สมาชิกรัฐสภาที่รวมตัวกันได้ 20 คน สามารถมีสิทธิคัดเลือกผู้ร่างได้หนึ่งคน ซึ่งจะเป็นหลักประกันว่าคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่ง และทำให้คณะผู้ร่างมีตัวแทนที่หลากหลายจากทุกกลุ่มความคิด
โฆษกพรรค ปชน. กล่าวว่า ในทางกลับกัน หากรัฐสภาใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่งมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา เช่น สส. และ สว. รวมกันเกิน 350 คน ก็อาจใช้เสียงข้างมากผูกขาดการคัดเลือกผู้ร่างได้ทั้ง 35 คน หรือ 100% แบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งข้อเสนอนี้น่ายินดีที่คณะกรรมาธิการส่วนใหญ่เห็นด้วย แทบเรียกว่าเป็นฉันทามติ ให้ใช้สูตร 20 หยิบ 1 แทนใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก
ในมุมมองของ ปชน. ผลการลงมติของคณะกรรมาธิการฯ จึงเป็นเรื่องที่ทั้งน่าผิดหวังและน่ายินดีผสมกันไป เพราะแม้เราไม่สามารถโน้มน้าวให้กรรมาธิการจากพรรคอื่น ๆ และ สว. เห็นด้วยกับเราใน 2 จาก 3 ข้อเสนอ (สภาที่ปรึกษาที่ประชาชนเลือกโดยตรง และ การให้ประชาชนคัดกรองผู้ร่าง) แต่เราสามารถผลักดัน 1 จาก 3 ข้อเสนอ (สูตร 20 หยิบ 1) ได้สำเร็จ จึงรับประกันได้ว่าการคัดเลือกผู้ร่างโดยรัฐสภาจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และประชาชนยังมีส่วนร่วมได้บ้างในการกำหนดผู้ร่างผ่านคูหาเลือกตั้ง สส. เพราะหากประชาชนเลือก สส. จากพรรคใดเยอะ พรรคดังกล่าวก็ย่อมมีสิทธิในการคัดเลือกผู้ร่างที่มีจุดยืนเรื่องรัฐธรรมนูญใกล้เคียงกันได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีกรรมาธิการบางท่านมีความกังวลว่า สูตร 20 หยิบ 1 อาจไม่ใช่ยาวิเศษเพราะประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมคัดกรองผู้ร่างมาเบื้องต้น แต่ข้อเท็จจริงเรื่องนี้คือ
(1) คณะกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ ร่วมถึงกรรมาธิการดังกล่าว ไม่ได้ลงมติเห็นชอบกับข้อเสนอของพรรคประชาชน ที่เสนอให้ประชาชนคัดกรองผู้ร่างมาเบื้องต้น 70 คน ก่อนส่งให้รัฐสภาคัดเหลือ 35 คน
(2) กรรมาธิการท่านอื่น ไม่ได้เสนอวิธีการอื่นที่จะป้องกันการผูกขาด มิหนำซ้ำร่างที่พรรคต้นสังกัดของกรรมาธิการดังกล่าวดังกล่าวเสนอ ก็กำหนดว่าในขั้นตอนสุดท้ายที่รัฐสภาคัดเลือก สสร. ให้รัฐสภาใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก ซึ่งเสี่ยงต่อการผูกขาดกว่าสูตร 20 หยิบ 1
นอกจากนี้มีความพยายามในการสร้างความเข้าใจจากบางภาคส่วนว่าการไม่เติม สสร. ตามข้อเสนอของกรรมาธิการพรรคเพื่อไทย เป็นการทำให้ผู้ร่างยึดโยงกับประชาชนน้อยลง แต่ข้อเท็จจริงคือ (1) สสร. ที่กรรมาธิการเพื่อไทยเสนอให้เติมเข้ามา ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน (2) ในการลงมติว่าจะเติม สสร. หรือไม่ ก็ไม่ได้เป็นการลงมติว่า สสร. จะมีที่มาอย่างไร เพียงแต่เป็นการลงมติว่ากลไกผู้ร่างจะมี 1 ระดับ (กรรมาธิการร่าง) หรือ 2 ระดับ (สสร. และ กรรมาธิการยกร่าง)
“หลังจากนี้ พวกเราพรรคประชาชนจะทำเต็มที่ในการจูงมือทุกภาคส่วนในกรรมาธิการเพื่อเดินหน้าพิจารณามาตราที่เหลืออยู่ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จโดยเร็วที่สุด โดยอย่างน้อยที่สุดควรจะพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน เพื่อให้มีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาวาระ 2 ในต้นเดือนธันวาคม และให้รัฐสภาพิจารณาวาระ 3 เสร็จก่อนสิ้นเดือนธันวาคม” นายพริษฐ์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 พ.ย. 68)





