
โครงการประกันสุขภาพเมดิแคร์ (Medicare) ของสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันอังคาร (25 พ.ย.) ว่า การเจรจาต่อรองราคายาต้นทุนสูง 15 รายการ ช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึง 36% เมื่อเทียบกับรายจ่ายรายปีในช่วงที่ผ่านมา หรือคิดเป็นมูลค่าต้นทุนยาสุทธิราว 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ราคาใหม่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ปี 2570 หนึ่งในนั้นคือยา Semaglutide กลุ่ม GLP-1 ของบริษัทโนโว นอร์ดิสค์ (Novo Nordisk) ราคาลดเหลือ 274 ดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งจำหน่ายในชื่อ Wegovy สำหรับลดน้ำหนัก และ Ozempic สำหรับรักษาเบาหวาน
บทวิเคราะห์ในวารสาร Journal of Managed Care and Specialty Pharmacy ชี้ว่า เดิมราคาสุทธิของยา Ozempic ในระบบเมดิแคร์อยู่ที่ 428 ดอลลาร์ต่อเดือน ขณะที่เมดิแคร์ระบุราคาตั้งต้น (List price) ก่อนหักส่วนลดและเงินคืนตามสัญญาที่เป็นความลับไว้ที่ 959 ดอลลาร์ต่อเดือน
เมดิแคร์ระบุว่า หากอิงราคาตั้งต้นที่ไม่หักส่วนลด ยาทั้ง 15 รายการนี้ราคาลดลงตั้งแต่ 38% ถึง 85%
กลุ่มยาที่ราคาลดลงมากที่สุดรอบนี้คือ ยารักษาลูคีเมีย Calquence ของแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca), ยารักษาโรคปอด Ofev ของเบอริงเกอร์ (Boehringer) และยารักษามะเร็งเต้านม Ibrance ของไฟเซอร์ (Pfizer) โดยราคาประเมินสุทธิลดลงรายการละกว่า 4,000 ดอลลาร์
การเจรจาราคานี้เป็นผลจากกฎหมายลดเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act – IRA) ปี 2565 ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งปลดล็อกข้อกฎหมายเดิมที่ห้ามเมดิแคร์ต่อรองราคากับบริษัทยา
โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ประเมินว่า ยอดประหยัดงบ 36% ในปี 2570 นี้นับว่าสูงกว่าการเจรจารอบแรกเมื่อปีก่อน (สำหรับยา 10 รายการ) ที่ทำยอดประหยัดสุทธิได้ 22%
วิลเลียม พาดูลา ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์เภสัชกรรมและสุขภาพ มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียกล่าวว่า “วิธีการทำงานของรัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น” แต่ยารุ่นใหม่ชุดนี้อาจมี “ช่องว่างให้ต่อรอง” ได้มากกว่าด้วย
ยาอื่นที่อยู่ในโผเจรจารอบนี้ ได้แก่ Trelegy Ellipta ยาพ่นหอบหืดและปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ของจีเอสเค (GSK) โดยราคาใหม่อยู่ที่ 175 ดอลลาร์ (จากราคาตั้งต้น 654 ดอลลาร์) และ Linzess ยารักษาลำไส้แปรปรวนของแอ๊บวี่ (AbbVie) ราคาใหม่ลดเหลือ 136 ดอลลาร์ จากเดิม 539 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์ระบุว่าจะมีการนำราคาใหม่ไปเทียบกับราคาที่ประเทศรายได้สูงประเทศอื่น ๆ เจรจาได้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยผลักดัน หรือที่เรียกว่าการกำหนดราคาแบบ “ชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง” (Most-Favored-Nation หรือ MFN)
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยาออกมาคัดค้านเรื่องนี้ โดยอเล็กซ์ ชไรเวอร์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรม PhRMA กล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็น IRA หรือ MFN การให้รัฐบาลกำหนดราคายาเป็นนโยบายที่ผิดพลาดสำหรับอเมริกา”
“ราคาเหล่านี้จะต่ำกว่าราคาสุทธิในปัจจุบัน และช่วยประหยัดงบได้จริง” ฌอน ซัลลิแวน ศาสตราจารย์ด้านเภสัชกรรม มหาวิทยาลัยวอชิงตันกล่าว พร้อมเสริมว่า “ผู้จ่ายเงินรายอื่นก็เห็นราคาเหล่านี้ แล้วอะไรจะกันท่าไม่ให้รายอื่นขอลดราคาจากผู้ผลิตบ้าง”
ทั้งนี้ กฎหมาย IRA กำหนดให้เมดิแคร์พิจารณาปัจจัยหลายด้านเพื่อกำหนดราคา เช่น ข้อมูลจากผู้ผลิตและทางเลือกในการรักษา แต่กฎหมายไม่ได้ระบุให้ต้องนำราคาในต่างประเทศมาพิจารณา ต่างจากหลายประเทศที่มีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามานาน และใช้การเจรจาราคาแบบรวมศูนย์
อนึ่ง การเจรจาราคายารอบถัดไปของเมดิแคร์จะเริ่มขึ้นในเดือนก.พ. โดยเพิ่มยาอีก 15 รายการ ครอบคลุมทั้งยาที่สั่งจ่ายทั่วไปและยาที่ใช้ในโรงพยาบาล
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 พ.ย. 68)





