
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานในงานสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจำปี 2568 และแถลงแผนการปฏิบัติงาน ประจำปี 2569 ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวว่า ปัญหาด้านความมั่นคง เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการดำเนินงานอย่างเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และจัดการกับภัยคุกคามทุกรูปแบบที่ส่งผลกระทบ ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ และความสงบเรียบร้อยของชาติ
โดยได้หารือกับผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะรอง ผอ.รมน. เพื่อกำหนดทิศทางการปฏิบัติงานปี 69 ของ กอ.รมน. ให้มุ่งสู่ “ความมั่นคงที่ยั่งยืน ทันสมัย และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง” โดยเปลี่ยนการทำงานเชิงรับเป็นเชิงรุก แก้ปัญหาที่ต้นตอ และมุ่งเน้นการทำงาน แบบบูรณาการเพื่อให้เห็นผลชัดเจน และตอบสนองต่อปัญหาของประชาชนได้ในทุกสถานการณ์ เพื่อให้ทุกหน่วยงานมีแนวทางการปฏิบัติงาน และความพร้อม ต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาเพื่อให้บรรลุผลในปี 69 ขอให้ทุกหน่วยงานดำเนินการ ดังนี้
1. การป้องกันภัยคุกคามเร่งด่วน ให้มุ่งยับยั้งเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบ ต่อความมั่นคงของประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการสกัดกั้นภัยคุกคามข้ามชาติ และปัญหายาเสพติดตามแนวชายแดน พร้อมทั้งสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เน้นการทำงานเชิงลึกในพื้นที่ และใช้การมีส่วนร่วมของประชาชน ในการสร้างสันติสุข ลดเหตุรุนแรง ลดจำนวนจุดเสี่ยงลงให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม และสนับสนุนการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แก๊งคอลเซนเตอร์ สแกมเมอร์ อาชญากรรมออนไลน์และก่อการร้ายข้ามชาติ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน และสร้างเครือข่ายการแจ้งเบาะแส ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ รวมถึงแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ด้วยการประสานกับหน่วยงานหลักอย่างรวดเร็วเพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
“การบริหารจัดการข้อมูลข่าวสาร กอ.รมน. ต้องพัฒนาขีดความสามารถด้านข่าวกรองให้รู้จริง รู้เร็ว และแม่นยำ พร้อมเสริมมาตรการสกัดกั้นข่าวปลอม (Fake News) ที่บิดเบือนข้อเท็จจริง และส่งผลกระทบ ต่อความมั่นคงของประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความแตกแยกในสังคม” นายกรัฐมนตรี กล่าว
2. การสนับสนุนงานรัฐบาลและการดูแลประชาชน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตควบคู่กับ การแก้ไขปัญหาความมั่นคงเชิงพื้นที่ ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน การค้ามนุษย์ และสถานะบุคคลของคนไร้รัฐ-ไร้สัญชาติ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงาน “แผนตำบล มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพื่อให้ชุมชนเป้าหมาย ได้รับงบประมาณในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ยึดหลักการ จัดลำดับความเร่งด่วนของการแก้ไขปัญหา เสริมความพร้อมด้านพลังงาน และความมั่นคงทางอาหารควบคู่กับการป้องปรามการลักลอบนำเข้า-ส่งออกสินค้าการเกษตรปศุสัตว์ และประมงผิดกฎหมาย รวมถึงความพร้อมในการตอบสนอง ต่อเหตุการณ์ในภาวะไม่ปกติ หรือภัยพิบัติที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงโดยรวม ในมิติของการบรรเทาสาธารณภัย และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
โดย กอ.รมน. ต้องดำเนินการเชิงรุก ทั้งการป้องกันและการบรรเทาผลกระทบ ร่วมมือกับท้องถิ่น ในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ไฟป่า การทำลาย สิ่งแวดล้อม ปัญหากากสารเคมีอุตสาหกรรม และแหล่งน้ำปนเปื้อนสารเคมี
3. การปรับปรุงองค์กรและเสริมภาพลักษณ์ ที่ทันสมัย โปร่งใสและเป็นที่พึ่งของประชาชน เริ่มจากการเสริมศักยภาพบุคลากร ให้เท่าทันภัยคุกคาม รูปแบบใหม่ ทั้งในด้านเทคโนโลยี การใช้ข้อมูลข่าวสาร และทักษะปฏิบัติงานในพื้นที่ เพื่อให้กำลังพลพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และซับซ้อน ตามบริบทของความมั่นคงในปัจจุบัน รวมทั้งการเสริมสร้าง ความโปร่งใสขององค์กร ทุกภารกิจ ต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ ทั้งการใช้งบประมาณ การปฏิบัติงานในพื้นที่ และการสื่อสารต่อสาธารณะ
“ขอบคุณผู้บริหาร บุคลากร กอ.รมน. และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ และร่วมมือกัน ขับเคลื่อนภารกิจด้านความมั่นคงของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ขอบคุณ และเป็นกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจนี้ด้วยความทุ่มเท และเสียสละของทุกท่าน เพื่อจะทำให้การนำนโยบายไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ผลลัพธ์ที่ประชาชนสามารถสัมผัสได้จริง คือผลการปฏิบัติที่ผมคาดหวัง ซึ่งทุกท่านจะเป็นผู้นำร่วมกันพาประเทศไทยของเราให้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ธ.ค. 68)





