
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในปี 69 มีแนวโน้มกลับมาหดตัว จากราคาน้ำมันปาล์มดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง แม้ผลผลิตและความต้องการบริโภคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบปี 69 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.54 ล้านตัน (+1.8%YOY) ตามผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเป็น 19.9 ล้านตัน จากการขยายพื้นที่เพาะปลูกในปี 66 ที่เริ่มให้ผลผลิตในปีนี้ ประกอบกับผลผลิตต่อไร่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่คาดว่าจะเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของปาล์มน้ำมัน ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบไทยโดยเฉลี่ยในปี 69 จะปรับตัวลดลง 6.8%YOY มาอยู่ที่ 33.9 บาท/กิโลกรัม ตามราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากสต็อกน้ำมันปาล์มดิบโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากผลผลิตปาล์มน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มเติบโตดีตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะในมาเลเซียที่ปัญหาภัยแล้งเริ่มคลี่คลาย
ขณะที่ราคาน้ำมันถั่วเหลืองซึ่งเป็นสินค้าทดแทนมีแนวโน้มลดลงในปี 69 เป็นอีกปัจจัยที่จะกดดันราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก แม้ไทยจะไม่ได้มีการส่งออกน้ำมันปาล์มไปสหรัฐฯ แต่จะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันปาล์มโลก
สำหรับอุปสงค์น้ำมันปาล์มดิบของไทยในปี 69 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.42 ล้านตัน (+2.8%YOY) ตามความต้องการใช้เพื่อผลิตไบโอดีเซลที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.87 ล้านตัน จากการใช้น้ำมันดีเซลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ความต้องการบริโภคในประเทศมีแนวโน้มขยายตัว 1.2%YOY มาอยู่ที่ 1.50 ล้านตัน ตามการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ส่วนปริมาณการส่งออกคาดว่าจะอยู่ที่ 1.05 ล้านตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.0%YOY จากผลผลิตส่วนเกินในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยความต้องการบริโภคที่ต่ำกว่าผลผลิตจะทำให้สต็อกน้ำมันปาล์มดิบปลายปี 69 เพิ่มขึ้นเป็น 0.47 ล้านตัน จาก 0.35 ล้านตันในปี 68
อนึ่ง การเติบโตของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในปี 69 ยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันถั่วเหลืองโลก นโยบายพลังงานทางเลือกของไทยและอินโดนีเซีย และสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนรุนแรง
โดยภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมันถั่วเหลืองโลก จะกระทบต่อความต้องการบริโภคน้ำมันปาล์ม ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกและไทยมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากผลกระทบของนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่รุนแรงกว่าคาด และราคาน้ำมันถั่วเหลืองโลกลดลงมากกว่าคาด ก็จะส่งผลให้ความต้องการบริโภคน้ำมันปาล์มเติบโตต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบโลกและไทยอาจลดลงมากกว่าคาด ในขณะที่นโยบายพลังงานทางเลือกของไทย จะกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อผลิตไบโอดีเซล โดยหากภาครัฐมีนโยบายปรับสูตรผสมน้ำมันไบโอดีเซลไปอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า B5 ก็จะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันปาล์มดิบของไทยปรับตัวลดลงได้
นอกจากนี้ หากรัฐบาลอินโดนีเซียเริ่มบังคับใช้นโยบาย B50 (ปัจจุบัน B40) เร็วกว่าที่วางแผนไว้ในช่วงครึ่งหลังของปี 69 จนทำให้อินโดนีเซียส่งออกน้ำมันปาล์มได้น้อยลงหรือมีนโยบายควบคุมการส่งออกก็จะส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกพลิกกลับมาขยายตัว และทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น สวนทางกับที่คาดการณ์ไว้ ส่วนความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศและปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ จะส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบ โดยหากไทยเผชิญภัยแล้งหรือน้ำท่วม ผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบอาจเพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาด หรืออาจลดลง
ในระยะต่อไปอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายและมาตรการเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และกระแสความยั่งยืน โดยมาตรการต่าง ๆ ในอนาคต เช่น การเก็บภาษีคาร์บอนทั้งในและต่างประเทศ จะทำให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจน้ำมันปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่เมกะเทรนด์ความยั่งยืน (Sustainability) จะทำให้ผู้บริโภคหรืออุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบมีแนวโน้มที่จะหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาลมากขึ้นในอนาคต ซึ่งกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ที่จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 30 ธ.ค.68 เป็นตัวอย่างความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นจากกระแสความยั่งยืน โดย EUDR กำหนดให้ผู้ประกอบการที่ส่งสินค้าน้ำมันปาล์มไปยังตลาด EU จะต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบว่าจะต้องมาจากพื้นที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการไทยเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยคว้าส่วนแบ่งตลาดน้ำมันปาล์มใน EU เพิ่มขึ้น เนื่องจาก EU จัดไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำจากปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ผู้นำเข้าสินค้าน้ำมันปาล์มจากไทยไปยัง EU จะได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องดำเนินการตามกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ (Due diligence) ในทุกขั้นตอน กล่าวคือ ผู้นำเข้าจะต้องดำเนินการเฉพาะในขั้นตอนที่ 1 เก็บรวบรวมข้อมูล แต่ไม่ต้องดำเนินการในขั้นตอนที่ 2 ประเมินความเสี่ยงและขั้นตอนที่ 3 ลดความเสี่ยงในกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความซับซ้อนและมีต้นทุนสูง โดยต้นทุนการนำเข้าจากไทยที่ต่ำกว่าการนำเข้าจากอินโดนีเซียและมาเลเซียที่ต้องดำเนินการตามกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับทุกขั้นตอน จะช่วยให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยดีขึ้น และเปิดโอกาสให้ไทยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดน้ำมันปาล์มใน EU จากในปี 67 ที่มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 0.3%
อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไทยมีปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการกลางน้ำของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มขยายกำลังการผลิตอย่างมาก เช่น ยูนิวานิชน้ำมันปาล์มมีการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 105 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมงในปี 50 มาอยู่ที่ 340 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมงในปี 66 พร้อมกันนั้นอุปสรรคในการเข้าสู่อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้จำนวนโรงสกัดน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นจาก 43 โรงงานในปี 46 มาอยู่ที่ 120 โรงงานในปี 67 ขณะที่โรงกลั่นน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นจาก 13 โรงงานมาอยู่ที่ 22 โรงงานในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งการขยายกำลังการผลิตของผู้เล่นกลางน้ำที่ไม่สอดคล้องกับการขยายพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรต้นน้ำ ทำให้เกิดภาวะกำลังการผลิตส่วนเกิน สะท้อนได้จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงปี 64-67 อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มดิบโดยเฉลี่ยอยู่ที่ราว 55.3% และ 38.0% ตามลำดับ ซึ่งต่างจากมาเลเซียที่อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มดิบในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 61.4% และ 61.4% ตามลำดับ
ผู้ประกอบการจะเน้นแข่งขันในด้านการจัดหาวัตถุดิบ การลดต้นทุนการผลิต การบริหารความเสี่ยงด้านราคาและการมุ่งสู่ความยั่งยืน ภาวะกำลังการผลิตส่วนเกิน ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันจัดหาผลปาล์มน้ำมันมาป้อนโรงงานให้ได้มากที่สุด เพื่อลดต้นทุนในการผลิตต่อหน่วยลง โดยผู้ประกอบการจะใช้กลยุทธ์ด้านราคาและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกร เพื่อดึงดูดให้เกษตรกรนำผลปาล์มสดมาขายให้โรงงาน พร้อมกันนั้น ผู้ประกอบการก็มีการแข่งขันกันลดต้นทุนการผลิต ผ่านการขยายกำลังการผลิต เพื่อใช้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด (Economy of scale) และเน้นพัฒนาความสามารถในการจัดการความเสี่ยงด้านราคา ผ่านการบริหารจัดการสต็อก
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดยังมีการแข่งขันในด้านการมุ่งสู่ความยั่งยืน เช่น การลดการใช้น้ำ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎระเบียบด้านความยั่งยืน เป็นต้น ดังนั้น ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มที่สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกร สามารถจัดการความเสี่ยงด้านราคาได้ดี มีต้นทุนการผลิตต่ำ และมีการดำเนินธุรกิจที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล จะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้และเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ในปี 67 บริษัทน้ำมันปาล์ม 10 อันดับแรกมีส่วนแบ่งรายได้รวม 41.2% ของรายได้ทั้งหมดในหมวดธุรกิจการผลิตน้ำมันปาล์ม โดยจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม มีส่วนแบ่งรายได้มากเป็นอันดับ 1 ที่ 7.5% ตามมาด้วย พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ (5.6%), ล่ำสูง (4.8%), ไทยทาโลว์แอนด์ออยล์ (3.9%), สุขสมบูรณ์น้ำมันปาล์ม (3.6%), กลุ่มสมอทอง (3.6%), เอส.พี.โอ.อะโกรอินดัสตรี้ส์ (3.3%), ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม (3.1%), กลุ่มปาล์มธรรมชาติ (3.0%) และธนาปาล์มโปรดักส์ (2.8%) โดยในระยะต่อไป คาดว่าส่วนแบ่งรายได้จะกระจุกตัวอยู่ที่บริษัทขนาดใหญ่มากขึ้น เนื่องจากมีการขยายกำลังการผลิตของผู้เล่นรายใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่ปรับตัวลดลง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กแข่งขันได้ยากและทยอยออกจากตลาด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ธ.ค. 68)





