พิษน้ำท่วมหลายพื้นที่ ฉุดดัชนีเชื่อมั่นหอการค้าฯ เดือนพ.ย. 68 ลดลงสวนทางความเชื่อมั่นผู้บริโภค

นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC INDEX) เดือนพ.ย. 68 อยู่ที่ระดับ 44.0 ลดลงจากเดือนต.ค. ซึ่งดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 44.1 โดยเป็นการพลิกกลับไปเป็นลบอีกครั้ง ถึงแม้ว่าระดับจะค่อนข้างทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในแต่ละภูมิภาค เป็นดังนี้

– กรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ 45.1 ลดลงจากเดือนต.ค. ซึ่งอยู่ที่ 45.2

– ภาคกลาง อยู่ที่ 44.0 ลดลงจากเดือนต.ค. ซึ่งอยู่ที่ 44.2

– ภาคตะวันออก อยู่ที่ 48.6 เพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค. ซึ่งอยู่ที่ 48.5

– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ 42.0 ลดลงจากเดือนต.ค. ซึ่งอยู่ที่ 42.1

– ภาคเหนือ อยู่ที่ 44.8 เพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค. ซึ่งอยู่ที่ 44.7

– ภาคใต้ อยู่ที่ 43.7 ลดลงจากเดือนต.ค. ซึ่งอยู่ที่ 43.9

ปัจจัยด้านลบ ได้แก่

– สถานการณ์อุทกภัยในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ส่งผลกระทบต่อภาคบริการและการเกษตร จากการปิดการให้บริการของร้านค้า การเดินทางขนส่งที่ไม่สะดวก และภาคเกษตรไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตามปกติ

– ความกังวลต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือ และภาคกลาง ที่สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร

– สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผย GDP ไตรมาส 3/68 ว่าเศรษฐกิจขยายตัว 1.2% ทำให้ช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.4% คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 68 จะยังขยายตัวที่ 2.0%

– สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังคงเฝ้าระวังการเกิดเหตุรุนแรงจากฝั่งตรงข้ามบริเวณตามแนวเขตชายแดน ส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวและการเตรียมด้วอพยพของประชาชน รวมถึงการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน ที่ต้องหยุดชะงักบริเวณพื้นที่ชายแดน

– เศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ ส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจที่อาจจะไม่เติบโต ซึ่งรายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น

– SET Index เดือน พ.ย. 68 ปรับตัวลดลง 52.81 จุด จาก 1,309.50 ณ สิ้นเดือน ต.ค. 68 เป็น 1,256.69 ณ สิ้นเดือน พ.ย. 68

– ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับขบวนการฮามาส

– ราคาข้าวเปลือกเจ้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และยางพารา อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่มากนัก มีผลต่อกำลังซื้อในบางพื้นที่ต่างจังหวัดในระยะนี้

– ปัญหาเรื่องปัจจัยต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเรื่องของค่าแรงสูงขึ้น

– ปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และปัญหาต้นทุนทางการเงิน

ปัจจัยด้านบวก ได้แก่

– มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ช่วยลดภาระค่าครองชีพและกระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่ายมากขึ้นทันที ซึ่งเริ่มใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.-31 ธ.ค. 68

– มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐ ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวภายในประเทศ เช่น ค่าที่พัก และค่าอาหาร มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ โดยสามารถใช้สิทธิได้ระหว่างวันที่ 29 ต.ค.-15 ธ.ค. 68 เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในประเทศให้เติบโตยิ่งขึ้น

– การส่งออกของไทยเดือน ต.ค 68 ขยายตัว 5.66% มูลค่าอยู่ที่ 28,835 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการนำเข้าเพิ่มขึ้น 16.25% มีมูลค่าอยู่ที่ 32,272 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าอยู่ที่ 3,436 ล้านดอลลาร์

– ราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโซฮอล ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 ในประเทศปรับตัวลดลงประมาณ 0.80 บาทต่อลิตร จากเดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 31.48 และ 31.85 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีก ปรับตัวลดลง โดยอยู่ที่ระดับ 30.94 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือน พ.ย. 68

– เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากระดับ 32.551 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือน ต.ค. 68 เป็น 32.398 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือน พ.ย. 68

สำหรับแนวทางการดำเนินการในการแก้ไขปัญหา ได้แก่

1. เร่งออกมาตรการเยียวยากับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ

2. มาตรการเร่งด่วนที่ให้ภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงสินเชื่อ เพื่อนำไปฟื้นฟูกิจการที่ได้รับความเสียหายโดยเฉพาะจากภัยธรรมชาติ

3. แนวทางป้องกันรับมือกับอุทกภัยที่เกิดขึ้นในอนาคตให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ

4. แนวทางแก้ไขความขัดแย้งบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ให้กลับมาฟื้นตัว

5. แนวทางเร่งแก้ปัญหาหนี้ในระบบและนอกระบบ โดยการปรับโครงสร้างหนี้ และขยายวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

6. การสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุน และส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่สามารถแข่งขันได้กับประเทศอื่น

7. การรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการส่งออกและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เห็นเทรนด์ของระบบเศรษฐกิจที่แนวโน้มของปีหน้าน่าจะมีสัญญาณชะลอลงจากปีนี้ ซึ่งสัญญาณนี้ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งครั้งนี้เป็นการปรับตัวที่แตกต่างจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เพราะว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3

ส่วนดัชนีเชื่อมั่นหอค้าไทยครั้งนี้ ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรก นับจากที่มีการเบรกสัญญาณของการปรับขึ้นในเดือนที่แล้ว ถ้าไม่มีสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ก็เชื่อว่าความเชื่อมั่นของหอการค้าไทยน่าจะปรับขึ้น ขณะเดียวกัน สัญญาณของผู้บริโภคเบรกในมุมมองของสถานการณ์ปัจจุบันไปแล้ว ก็คือสถานการณ์ปัจจุบันปรับตัวดีขึ้น แล้วก็เป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 แต่สัญญาณของความเชื่อมั่นของหอการค้าไทย ยังเป็นสัญญาณของการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 9 เดือนในสถานการณ์ปัจจุบัน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ธ.ค. 68)