
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม เผยได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดฯ ทั้งกรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กรมเจ้าท่า (จท.) และหน่วยงานในพื้นที่ ลงพื้นที่ประสบอุทกภัยเพื่อเร่งสำรวจความเสียหาย เตรียมงบซ่อมถนน ฟื้นโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งถนนที่ชำรุด สะพานขาด ทางเชื่อมหมู่บ้าน-อำเภอ-จังหวัด รวมถึงประสิทธิภาพการระบายน้ำของคลองและปากแม่น้ำ หากงบประมาณกลางยังไม่ลงมา ให้ทุกหน่วยใช้งบคงค้างและงบที่เหลืออยู่ในปีปัจจุบัน เพื่อซ่อมแซมเร่งด่วน
ขณะเดียวกันได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคมจัดทำงบประมาณซ่อมแซมเบื้องต้นกว่า 3,000 ล้านบาท และเพิ่มเติมรายละเอียดหลังน้ำลดในทุกจุดเสียหาย โดยเฉพาะถนนชุมชน ถนนหมู่บ้าน และเส้นทางเชื่อมเศรษฐกิจที่ประชาชนใช้ในชีวิตประจำวันจะต้องได้รับการซ่อมแซมโดยเร็วที่สุด
พร้อมกันนี้ได้กำชับกรมเจ้าท่าให้สำรวจปากแม่น้ำและคูคลองทุกสายว่าจุดใดมีสันดอนสะสม จุดใดระบายน้ำได้ล่าช้า จุดใดต้องขุดลอกหรือดึงเลนออกเพื่อเร่งระบายลงทะเลได้มากขึ้น เพื่อให้พื้นที่ภาคใต้ตอนล่างสามารถรับมือฝนระลอกใหม่ และลดโอกาสเกิดน้ำท่วมซ้ำซาก ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมทั้งระบบ ป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำซากเกิดขึ้นอีก
เนื่องจากสภาพอากาศในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เป็นภูมิภาคที่เข้าสู่ฤดูฝนช้าที่สุดของประเทศ และมักมีระยะเวลาฝนตกยาวนานไม่น้อยกว่าสองเดือน แตกต่างจากจังหวัดอื่นที่เข้าสู่ฤดูแล้งแล้ว โโญปรากฏการณ์ฝนหนักในภาคใต้ตอนล่างเกิดจากมวลอากาศเย็นจากจีนที่แผ่ลงมาปะทะกับอากาศร้อนชื้นในภาคใต้ เมื่อใดที่อุณหภูมิในประเทศไทยลดลงอยู่ที่ประมาณ 18-20 องศาเซลเซียส มักเป็นสัญญาณชัดเจนว่า พื้นที่ชายแดนใต้จะเกิดฝนตกหนักและลมมรสุมพัดต่อเนื่องลงไปถึงประเทศมาเลเซีย
“นี่เป็นองค์ความรู้ภูมิอากาศของภาคใต้ตอนล่างที่ใช้สังเกตกันมาแต่เดิมว่า เมื่อภาคกลางเริ่มหนาว ภาคใต้ตอนล่างจะเริ่มมีฝนตกหนัก และเป็นเหตุผลที่กระทรวงคมนาคมต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อเนื่องไปจนถึงช่วงต้นปีหน้า” นายพิพัฒน์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ธ.ค. 68)




