
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดเศรษฐกิจไทยปี 69 จะเติบโต 1.6% ชะลอลงจาก 2% ในปี 68 ตามอุปสงค์ต่างประเทศและในประเทศชะลอลง ขณะที่การส่งออกคาดว่าจะหดตัวส่งผลให้แรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยลดลง การท่องเที่ยวยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ การบริโภคของครัวเรือนได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ลดลงตามข้อจำกัดทางการคลัง มองคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยต่ออีก 1 ครั้ง แต่ยังต้องติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 69 องค์การการค้าโลก (WTO) คาดการณ์ว่าการค้าโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 68 ที่ขยายตัวได้ 2.4% มาอยู่ที่ 0.5% เนื่องจากมาตรการภาษีของทรัมป์ส่งผลต่อต้นทุนการค้าและเพิ่มความไม่แน่นอน
ในปี 68 การค้าโลกได้อานิสงส์จากการเร่งส่งออกของภาคธุรกิจก่อนที่ภาษีเริ่มบังคับใช้จริงในเดือน ส.ค. บวกกับแรงหนุนจากการส่งออกสินค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ที่พุ่งแรง โดยเฉพาะการส่งออกจากเอเชียไปสหรัฐฯ ตามการลงทุนใน Data Center และโครงสร้างพื้นฐาน AI ของสหรัฐฯ สวนทางกับสินค้าประเภทอื่นที่ไม่ใช่ AI (Non-AI) ที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
ขณะที่การส่งออกจากจีนไปเอเชียยังเติบโตได้ดีต่างกับการส่งออกไปสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ธุรกิจในประเทศจีนยังเผชิญกับการแข่งขันรุนแรงทั้งด้านกำลังการผลิตและสงครามราคา (Anti-Involution) ซึ่งกดดันการทำกำไรของภาคธุรกิจในจีนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาพเศรษฐกิจไทยปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้ายังมีความยังไม่แน่นอนเรื่องทางการเมือง ประกอบกับปีนี้เจอปัญหาต่าง ๆ ทั้งการท่องเที่ยว และน้ำท่วม จึงคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้ ส่วนในปี 69 น่าจะเห็นลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้ง
ส่วนผลกระทบต่อ GDP จากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา นายบุรินทร์ กล่าวว่า อาจทำให้ GDP ลดลงเล็กน้อย ภาพของ GDP ภาคใต้อาจลดลงไม่มาก แต่จะมี sentiment ต่อเนื่องเรื่องการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ส่วนประเด็นเรื่องกัมพูชามองว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจลดลงไปมากแล้ว คงไม่สร้างความกังวลมากกว่านี้ แต่ผลกระทบจากการปิดด่าน จะทำให้สินค้าและบริการบางอย่างติดปัญหา ซึ่งในส่วนนั้นอาจจะมีผลกระทบเล็กน้อย
ส่วนถ้าเศรษฐกิจยังมีปัญหาธนาคารจะปรับตัวอย่างไร นายบุรินทร์ กล่าวว่า ธนาคารก็คงต้องระมัดระวังในการปล่อยกู้มากขึ้น ในกลุ่มธุรกิจที่ไปได้ กับธุรกิจที่ไปไม่ได้ แล้วก็สินเชื่อก็อาจจะต้องมีหลักประกันที่ต้องมั่นคงขึ้น
ในส่วนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จะเป็นแรงส่งในช่วงปลายปีได้มากน้อยแค่ไหน ทั้งคนละครึ่งเฟสต่อไป และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง นายบุรินทร์ กล่าวว่า คาดว่าคงมีผลระดับหนึ่งประมาณ 0.1-0.2% โดยหักลบกับสถานการณ์น้ำท่วมที่หาดใหญ่แล้ว ทั้งนี้ อีกส่วนที่กังวลคือต่างชาติยกเลิกการมาเที่ยวไทยจากการที่ไทยรบกับกัมพูชาอีกรอบหนึ่ง
สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตาต่อเนื่องจากปีนี้ถึงปีหน้า คือนโยบายของรัฐบาล และการยุบสภา ซึ่งต้องรอดูว่านโยบายใหม่จะมีความต่อเนื่องหรือไม่
“อยากเห็นนโยบายที่แก้เรื่องปัญหาของตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งอาจต้องมีการรื้อระบบ จัดการเรื่องกฎหมาย เรื่องแรงจูงใจในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และอยากเห็นการดึงบุคคลที่มีความสามารถเข้ามาในประเทศไทย เพราะตอนนี้เรามีปัญหาเรื่องทรัพยากรบุคคล เพราะว่าในระหว่างเนี้ยเรายังผลิตคนที่มีศักยภาพไม่ทัน เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถดึงคนที่มีศักยภาพมาได้ ก็จะช่วยด้านดีมานด์ด้านอสังหาริมทรัพย์ ด้านการทำธุรกิจอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เป็นต้น” นายบุรินทร์ กล่าว
สำหรับประเด็นเรื่องการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) นายบุรินทร์ มองว่า ในอนาคตอย่างไรก็คงต้องขึ้น VAT เพราะจากการใช้จ่ายของประเทศไทยต้องหารายได้เพิ่ม แต่ไม่จำเป็นต้องขึ้นทุกอย่าง สามารถเว้นปัจจัย 4 ได้ ดังนั้น จะไม่กระทบกลุ่มคนระดับล่างที่มีรายได้น้อย
น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลงในปี 69 โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 69 ที่ 1.6% เทียบกับปี 68 ที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.0% โดยส่งออกสินค้าของไทยในปี 69 คาดว่าจะหดตัว 1.2% ส่งผลทำให้แรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยลดลง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจะยังฟื้นตัวกลับมาได้ไม่เต็มที่ คาดปี 69 นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 34.1 ล้านคน ขณะที่ 68 คาดอยู่ที่ 32.9 ล้านคน
“คาดปี 69 เศรษฐกิจไทยโตชะลอลง เครื่องยนต์เศรษฐกิจอ่อนแรงหมด ฝั่งอุปสงค์ชะลอลงแทบทุกองค์ประกอบ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเริ่มเห็นสัญญาณส่งออกชะลอจากภาษีสหรัฐฯ คาดว่าส่งออกจะหัดตัวสูงในตลาดหลัก จากการชะลอตัวของการค้าโลเป็นอย่างมาก ประกอบกับฐานส่งออกปี 68 ที่สูง” น.ส.ณัฐพร กล่าว
ในขณะที่การบริโภคของครัวเรือนที่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ มีแนวโน้มชะลอลง ส่วนหนึ่งจากแรงหนุนจากการใช้จ่ายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอาจลดลงตามข้อจำกัดทางการคลัง โดยคาด กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายต่ออีก 1 ครั้ง ในปี 69 นอกจากนี้ มีประเด็นที่ต้องติดตามคือในปี 69 คาดว่าเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นบวกที่ 0.4% แต่ยังคงต้องติดตามความเสี่ยงเรื่องเงินฝืดด้วย ขณะเดียวกัน ยังต้องติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งด้วยเช่นกัน
“ในการประเมิน GDP ปีหน้า ได้มีการรวมผลกระทบเรื่องการปิดชายแดนไทย-กัมพูชาไว้แล้ว ปกติแล้วไทยส่งออกไปกัมพูชาผ่านชายแดนประมาณ 12,000 ล้านบาทต่อเดือน ถ้านับครึ่งปีจะกระทบการส่งออกประมาณ 0.7% ของการส่งออกรวม” น.ส.ณัฐพร กล่าว
น.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินว่า ทิศทางธุรกิจปี 69 ยังอยู่ท่ามกลางความท้าทาย การชะลอลงของคำสั่งซื้อทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการแข่งขันกับสินค้านำเข้า กดดันการผลิตต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เสี่ยงหดตัวเป็นปีที่ 4 ส่วนธุรกิจบริการส่วนใหญ่ (เช่น ค้าปลีก ร้านอาหาร การแพทย์ ก่อสร้าง เป็นต้น) คาดเติบโตชะลอลง
ขณะเดียวกัน ต้นทุนวัตถุดิบบางอย่างยังสูงและค่าแรงอาจปรับขึ้น ทำให้การสร้างรายได้สุทธิจะยากขึ้นภายใต้ศักยภาพตลาดที่โตต่ำ ธุรกิจจึงยังต้องเน้นการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ปรับตัวรับเทรนด์อย่างแตกต่าง และมองหาตลาดใหม่
น.ส.ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ (ระบบแบงก์ไทย) มีแนวโน้มหดตัวลงต่อเนื่องในปี 69 สอดคล้องกับภาพการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจ โดยคาดว่า สินเชื่อของระบบแบงก์ไทยจะหดตัวลง 0.7% ในปี 69 ต่อเนื่องจากที่คาดว่าจะหดตัวลง 2.3% ในปี 68 โดยติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
ทั้งนี้ สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายย่อย ทั้งในส่วนของสินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อ จะยังคงหดตัวตามข้อจำกัดด้านรายได้และอำนาจซื้อของภาคครัวเรือน ขณะที่หนี้ครัวเรือนในปี 69 มีแนวโน้มชะลอลงมาที่ระดับไม่เกิน 85% ต่อ GDP ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ รวมถึงทิศทางคุณภาพสินเชื่อในปี 69 ด้วยเช่นกัน โดยคาดว่า NPL จะยังคงอยู่ที่ประมาณ 3%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ธ.ค. 68)





