ปชป.จี้ ก.ล.ต.-ปปง.-ศปอ.ส.ตร.เร่งตรวจสอบธุรกรรมผิดปกติหลังพบทุนเทาโผล่ถือหุ้นบจ.ไทย

พรรคประชาธิปัตย์ ออกแถลงการณ์ เรื่องการขอให้ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอ.ส.ต.ร.), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) , สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบธุรกรรมที่มีความผิดปกติอย่างเร่งด่วน เพื่อปกป้องระบบการเงินไทยในสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศ

พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า ข้อมูลที่ปรากฏต่อสาธารณะเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงินและโครงสร้างผู้ถือหุ้นในหลายบริษัท

สมควรได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติมโดยหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจ เพื่อสร้างความชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

ในบริบทนี้ พรรคประชาธิปัตย์ขอแสดงความห่วงกังวลต่อการปรากฏข้อมูลเชิงสาธารณะและภาพถ่ายเกี่ยวกับหลายบุคคลที่ อาจมีความเกี่ยวข้อง กับกลุ่มที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

โดยเฉพาะกรณีของ นาย Benjamin Mauerberger (Ben Smith) ซึ่งมีข้อมูลปรากฏว่าเคยเข้าร่วมพิธีลงนาม MOU กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามที่เผยแพร่ในสาธารณะ พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าภาครัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ควรชี้แจงเพื่อความโปร่งใสและลดความคลางแคลงใจของสาธารณะ

เหตุการณ์ทั้งหมดสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐต้องตรวจสอบ เส้นทางเงินและการถือครองหลักทรัพย์ อย่างเป็นระบบ เพื่อรักษาความเชื่อมั่นในตลาดทุน ป้องกันช่องโหว่ทางการเงินที่อาจถูกใช้โดยผู้ไม่หวังดี และเพื่อปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติ

พรรคประชาธิปัตย์จึงขอให้ ศปอ. ส.ตร., ก.ล.ต., ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการดังต่อไปนี้

1. ตรวจสอบธุรกรรมที่มีความผิดปกติของกลุ่มผู้ลงทุนที่อาจเกี่ยวข้องกับเครือข่ายต่างชาติ

จากข้อมูลที่พรรคได้ยื่นต่อ ก.ล.ต. และ ปปง. พบว่า มีรายชื่อของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในหลายบริษัทจดทะเบียนที่ ปรากฏว่าเชื่อมโยง กับบุคคลซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบของรัฐ เช่น

– นาย Yim Leak

– นางสาวแคทรียา บีเวอร์

– ธนาคาร B.I.C. Bank (Cambodia)

– Capital Asia Investment

2. ตัวอย่างธุรกรรมผิดปกติที่ควรตรวจสอบอย่างเร่งด่วน

(ก) การเคลื่อนไหวหุ้นบางจาก (BCP)

– 26 พ.ย. 2568 — บางจากฯ อนุมัติซื้อหุ้นคืนวงเงิน 1,100 ล้านบาท

– 2 วันถัดมา — บริษัท ACE ขายหุ้น BCP จำนวน 27.1 ล้านหุ้น

– 3 ธ.ค. 2568 — ศปอ. ส.ตร. และ ปปง. มีคำสั่งยึด–อายัดทรัพย์บริษัท ACE

ธุรกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนี้ อาจเป็นรูปแบบที่ควรได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงที่มีมาตรการยึด–อายัดทรัพย์จากภาครัฐ

(ข) ความเกี่ยวโยงของ ACE, MFC และ VGI ผ่านกลุ่ม OPUS – Chartered Issuances S.A.

ข้อมูลโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่ ACE เผยแพร่ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 ระบุว่า Encore Issuance S.A. มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่ มีความคล้ายคลึงกันในบางประการ กับ Opus – Chartered Issuances S.A. (“Opus SA”) ซึ่งเป็นผู้ถือครองหลักทรัพย์หลายรายการในตลาดทุนไทย ได้แก่

– MFC (มูลค่าประมาณ 750 ล้านบาท)

– VGI (ถือโดย Opus SA มูลค่าประมาณ 2,200 ล้านบาท และโดย CAI OPTIMUM FUND VCC – EDH INVESTMENTS มูลค่าประมาณ 2,900 ล้านบาท)

ข้อมูลในลักษณะนี้ อาจบ่งชี้ถึงความเกี่ยวโยงเชิงโครงสร้างผู้ถือหุ้น ซึ่งควรได้รับการตรวจสอบเพื่อประเมินความเสี่ยงด้านการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างรอบด้าน

3. ขอให้ ก.ล.ต. ออกมาตรการ “Enhanced KYC” และตรวจสอบเส้นทางเงินที่อาจเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดน จากข้อมูลเบื้องต้น พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า ควรตรวจสอบว่าเงินทุนบางส่วนอาจมีความเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินระหว่างประเทศ รวมถึงเส้นทางค่าเงินกัมพูชา

4. ข้อสรุปด้านความมั่นคงของชาติ

หากมีการตรวจสอบธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ACE และกลุ่มนิติบุคคลที่มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นเกี่ยวโยงกับ Opus SA ตามข้อมูลที่ปรากฏต่อสาธารณะ จะช่วยให้รัฐสามารถ

– ป้องกันความเสี่ยงของการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินข้ามพรมแดน

– ลดโอกาสที่ทรัพยากรทางการเงิน อาจถูกใช้โดยผู้ไม่หวังดี

– ปิดช่องว่างด้านการเงินที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของประเทศ

– เสริมสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อระบบกำกับดูแลในตลาดทุนไทย

การรักษาความมั่นคงของชาติในยุคนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการดูแลชายแดน แต่รวมถึงการปิดเส้นทางเงินที่อาจบ่อนทำลายเสถียรภาพของประเทศด้วย

พรรคประชาธิปัตย์พร้อมสนับสนุนทุกหน่วยงานรัฐในการดำเนินการอย่างมืออาชีพ เพื่อปกป้องประชาชนและผลประโยชน์ของประเทศไทย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ธ.ค. 68)