
SCB EIC คาดว่าอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในปี 2569 มีแนวโน้มกลับมาหดตัว โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงตามตลาดโลก แม้ว่าทั้งผลผลิตและความต้องการบริโภคในประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม
ผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.54 ล้านตัน จากผลผลิตปาล์มน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.9 ล้านตัน ตามเนื้อที่ให้ผลและผลผลิตต่อไร่ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการขยายพื้นที่เพาะปลูกและปริมาณฝนที่เพียงพอ ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบไทยโดยเฉลี่ยในปี 2026 จะปรับตัวลดลง 6.8%YOY มาอยู่ที่ 33.9 บาท/กิโลกรัม ตามราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากสต็อกน้ำมันปาล์มดิบโลกจะเพิ่มขึ้น จากผลผลิตโลกที่มีแนวโน้มเติบโตดี ตามสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ ราคาน้ำมันถั่วเหลือง (สินค้าทดแทนน้ำมันปาล์ม) ที่มีแนวโน้มลดลงในปี 2569 ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะกดดันราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก
ทั้งนี้ แม้ไทยจะไม่ได้มีการส่งออกน้ำมันปาล์มไปสหรัฐฯ แต่จะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันปาล์มโลก
สำหรับอุปสงค์น้ำมันปาล์มดิบของไทยในปีหน้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.42 ล้านตัน โดยเป็นผลมาจากปริมาณการส่งออกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากผลผลิตส่วนเกิน ประกอบกับความต้องการใช้เพื่อผลิตไบโอดีเซลและเพื่อบริโภคในประเทศจะเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมันถั่วเหลืองซึ่งเป็นสินค้าทดแทน การเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงานทางเลือกของไทยและอินโดนีเซีย และสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนรุนแรง ซึ่งจะกระทบต่อความต้องการบริโภค ผลผลิตและราคาน้ำมันปาล์มดิบ
- ราคาน้ำมันปาล์มดิบไทยลดลง: คาดว่าราคาโดยเฉลี่ยในปี 2569 จะอยู่ที่ 33.9 บาทต่อกิโลกรัม ลดลง 6.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ปัจจัยกดดันมาจากราคาน้ำมันปาล์มดิบตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากสต็อกโลกเพิ่มขึ้น และผลผลิตปาล์มน้ำมันโลกเติบโตดีตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย อีกทั้งราคาน้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนก็มีแนวโน้มลดลง เป็นปัจจัยกดดันราคาในตลาดโลก
- ผลผลิตเพิ่มขึ้น: คาดว่าผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบของไทยจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.54 ล้านตัน (+1.8% YoY) เนื่องจากมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกใหม่ในปี 2566 ที่จะเริ่มให้ผลผลิตในปีนี้ และปริมาณฝนที่เพียงพอทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น
- อุปสงค์เพิ่มขึ้น: ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.42 ล้านตัน (+2.8% YoY)
- ใช้ผลิตไบโอดีเซล: เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.87 ล้านตัน ตามการใช้น้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ
- บริโภคในประเทศ: คาดว่าจะขยายตัว 1.2% มาอยู่ที่ 1.50 ล้านตัน ตามการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
- ส่งออก: คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.0% มาอยู่ที่ 1.05 ล้านตัน เนื่องจากมีผลผลิตส่วนเกินในประเทศเพิ่มขึ้น
- สต็อกปลายปี: ปริมาณความต้องการบริโภคที่ต่ำกว่าผลผลิต จะส่งผลให้สต็อกน้ำมันปาล์มดิบปลายปี 2569 เพิ่มขึ้นเป็น 0.47 ล้านตัน
อุตสาหกรรมไทยเผชิญปัญหากำลังการผลิตในการแปรรูปปาล์มน้ำมันสูงกว่าผลผลิตจริงราว 1 เท่า ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันจัดหาวัตถุดิบ ลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วย และเน้นการบริหารความเสี่ยงด้านราคา ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะมาตรการเพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน จะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น
สำหรับโอกาสจากกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ที่เริ่มบังคับใช้ 30 ธ.ค. 2568 เนื่องจาก EU จัดไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ ทำให้ผู้นำเข้าจากไทยไม่ต้องดำเนินการตรวจสอบย้อนกลับ (Due diligence) ในขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและโอกาสในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดใน EU (จาก 0.3% ในปี 2567)
ความเสี่ยงด้านนโยบายและภูมิอากาศ ความไม่แน่นอนของนโยบายพลังงานทางเลือกของไทย (การปรับสูตรผสมไบโอดีเซล เช่น ต่ำกว่า B5) และนโยบายของอินโดนีเซีย (เช่น การบังคับใช้ B50 เร็วขึ้นหรือควบคุมการส่งออก) รวมถึงสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนรุนแรง ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญต่ออุปสงค์ ผลผลิต และราคาน้ำมันปาล์มดิบ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ธ.ค. 68)





