
พล.อ.อ.ประภาส สอนใจดี ผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้แจงถึงทิศทางการปฏิบัติการทางทหาร ภายหลังจากที่มีประกาศ พ.ร.ฎ.ยุบสภา ว่า กองทัพไทย ยังสามารถเดินหน้าปฏิบัติหน้าที่ด้านความมั่นคงได้อย่างเต็มที่ พร้อมย้ำว่า ทหารไทยได้ใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อตอบโต้การรุกล้ำ และการเปิดฉากยิงก่อนของกัมพูชา ซึ่งกองทัพไทย จะใช้กำลังทหารเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อปกป้องชีวิตพลเรือน และผืนแผ่นดินไทย
สำหรับการแถลงข่าวรายวัน จะยังมีขึ้นทุกวัน เพื่อแสดงถึงความโปร่งใส ไม่มีการปกปิด และเพื่อป้องกันความสับสนของข้อมูล พร้อมกันนี้ ขอให้คนไทยเชื่อมั่น และขอความร่วมมือไม่แชร์ข้อมูลเท็จ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของทหาร พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยยังต้องการสันติภาพ และความจริงใจจากฝ่ายกัมพูชา
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม (กห.) ย้ำว่า การปฏิบัติการของกองทัพ จะยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ซึ่งในส่วนของการตอบโต้ทางทหารนั้น ตั้งแต่เมื่อเวลา 17.00 น. วานนี้ (11 ธ.ค.) ฝ่ายกัมพูชายังระดมยิงอาวุธหนักเข้ามายังฝั่งไทย พร้อมส่งทหารราบเข้ามายึดครองพื้นที่ของไทยในบริเวณ จ.สระแก้ว ซึ่งกองทัพเรือ ได้เปิดปฏิบัติการทำลายศูนย์บัญชาการฝ่ายกัมพูชา ที่ควบคุมสั่งการในการรุกรานอธิปไตยของไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงช่วงเช้าวันนี้ ในขณะที่กัมพูชาเอง ก็ยังโจมตีเข้ามาในดินแดนของไทยตลอดแนวชายแดน
ขณะเดียวกัน ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (11 ธ.ค.) กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ประสานขอความร่วมมือไปยังฝ่ายกัมพูชา เพื่อให้พลเมืองไทยที่ตกค้างอยู่ในกัมพูชา สามารถเดินทางข้ามแดนกลับประเทศได้ แต่ฝ่ายกัมพูชายังไม่ได้ดำเนินการอนุญาตส่งคนไทยกลับประเทศ อย่างไรก็ดี กระทรวงการต่างประเทศ ยังคงเดินหน้าประสานงานกับกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขอให้คนไทยเดินทางกลับมาได้
พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก (ทบ.) เปิดเผยถึงพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทหารไทยสามารถควบคุมได้แล้ว ได้แก่ ซำแต จ.อุบลราชธานี, ช่องจอม-ช่องเปรอ-ช่องระยี จ.ศรีสะเกษ และ บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว
ส่วนพื้นที่ที่ทหารไทยสามารถควบคุมได้บางส่วน ได้แก่ ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี, ช่องคนา จ.สุรินทร์
สำหรับพื้นที่ที่ยังมีการปะทะกัน ได้แก่ ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ และบ้านคลองแผง อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว
ประมาณการความสูญเสียของฝ่ายกัมพูชา ณ วันที่ 11 ธ.ค.68
– ยานเกราะ-รถถัง 9 คัน, โดรน 68 ลำ, Anti-Drone 1 ระบบ, เสาสื่อสาร 3 จุด, BM-21 1 ระบบ
– ทหารกัมพูชา เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 165 นาย
ขณะที่ข้อมูลของฝ่ายไทยนั้น ณ จนถึงปัจจุบัน มีทหารไทยเสียชีวิต 9 นาย และบาดเจ็บ 190 นาย
น.อ.นรา คุณโฑถม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ (ทร.) เปิดเผยถึงปฏิบัติการทวงคืนพื้นที่บ้าน 3 หลัง จ.ตราด ว่า มีการตรวจพบการขุดคูเลต ทำที่มั่นทางการทหาร และบังเกอร์คอนกรีตใต้ดิน ของฝ่ายกัมพูชา ทำให้ทหารนาวิกโยธินไม่สามารถเข้ายึดที่หมายได้ อีกทั้งยังมีอาวุธสนับสนุนอื่น ๆ ซึ่งทำให้กองทัพเรือ ต้องขอรับการสนับสนุนการโจมตีทางอากาศ ด้วย F-16 จากกองทัพอากาศในการทำลายบังเกอร์ของกัมพูชาให้หมดสภาพความเป็นภัยคุกคาม เพื่อเข้ายึดคืนพื้นที่ต่อไป
“จากการรายงานด้านข่าวกรอง ทำให้ทราบเพิ่มเติมว่า กัมพูชาได้นำกำลังเข้ามาเพิ่มเติม ทั้งด้าน จ.จันทบุรี บริเวณด่านบ้านผักกาด และบ้านหนองรีบน จ.ตราด ทำให้เห็นความตั้งใจในการดำรงการเป็นภัยคุกคามของกัมพูชา ทำให้เราต้องปฏิบัติการทางทหารอย่างต่อเนื่องต่อไป” ผู้ช่วยโฆษก ทร. กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ธ.ค. 68)





