ทรัมป์สั่งสอบบริษัทที่ปรึกษาการออกเสียงลงคะแนนแทน เพิ่มมาตรการกดดันภาคการเงิน

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (11 ธ.ค.) ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มมาตรการกำกับดูแลอุตสาหกรรมที่ปรึกษาการออกเสียงลงคะแนนแทน (Proxy Advisory Industry) เนื่องจากเห็นว่าบริษัทชั้นนำในกลุ่มนี้มักผลักดันและให้ความสำคัญแก่วาระที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองอย่างสุดโต่ง

คำสั่งดังกล่าวซึ่งเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของทำเนียบขาว ได้บัญชาให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตรวจสอบบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท อินสติทิวชันนัล แชร์โฮลเดอร์ เซอร์วิสเซส (Institutional Shareholder Services – ISS) และบริษัท กลาส ลูวิส (Glass Lewis) ว่ามีการกระทำที่ละเมิดกฎระเบียบหรือกฎหมายป้องกันการผูกขาดหรือไม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

นอกจากนี้ คำสั่งยังระบุให้หน่วยงานอื่น ๆ อาทิ คณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหรัฐฯ (FTC) และกระทรวงแรงงาน พิจารณากำหนดมาตรการเพิ่มเติม เช่น การออกกฎระเบียบใหม่เพื่อกำกับดูแล และยังสั่งการให้ประธาน FTC และแพม บอนดี อัยการสูงสุด ดำเนินการทบทวนผลการสอบสวนในระดับมลรัฐว่ามีมูลเหตุที่ชี้ว่าเป็นการละเมิดกฎหมายป้องกันการผูกขาดระดับรัฐบาลกลางหรือไม่

การลงนามในคำสั่งครั้งนี้ถือเป็นมาตรการล่าสุดของฝ่ายอนุรักษนิยมในการโจมตีบริษัทที่ปรึกษาเหล่านี้ ซึ่งทำหน้าที่ให้คำแนะนำแก่นักลงทุนสถาบันในการลงคะแนนเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น

ที่ผ่านมา นักการเมืองพรรครีพับลิกัน กลุ่มธุรกิจ และผู้บริหารระดับสูง อาทิ เจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพีมอร์แกน (JP Morgan) และอีลอน มัสก์ ต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่าบริษัทเหล่านี้มีอิทธิพลสูงเกินไปต่อการตัดสินใจสำคัญ เช่น การเลือกตั้งกรรมการบริษัท หรือการอนุมัติค่าตอบแทนผู้บริหาร

ระยะหลัง บริษัททั้งสองแห่งได้รับความสนใจอย่างมากจากการแสดงทัศนะในนโยบายที่ละเอียดอ่อน เช่น การกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนรายงานการปล่อยก๊าซคาร์บอน หรือสถิติความหลากหลายของแรงงาน ซึ่งนำไปสู่การตอบโต้จากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการลงทุนที่เน้นความยั่งยืน (ESG) ส่งผลให้ในปีนี้ ทั้งสองบริษัทต้องปรับลดคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับข้อเสนอด้านสภาพภูมิอากาศลง และ ISS ได้ยุติการนำเรื่องความหลากหลายในคณะกรรมการมาพิจารณาประกอบการแนะนำ

ทางด้านบริษัท ISS ได้ชี้แจงผ่านโฆษกโดยระบุว่า บริษัทจะพิจารณาทบทวนคำสั่งดังกล่าวเพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการต่อไป โดยเน้นย้ำถึงสถานะการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนที่จดทะเบียนถูกต้องกับ SEC และยืนยันว่า ISS ไม่ได้เป็นผู้กำหนดมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการ และยังคงยึดมั่นในการดำเนินงานด้วยความเป็นมืออาชีพ มีจริยธรรม เป็นอิสระ และคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของลูกค้าเป็นสำคัญ

กลุ่มผู้จัดการสินทรัพย์และนักลงทุนบางส่วนได้แสดงความกังวลต่อความพยายามจำกัดบทบาทของบริษัทที่ปรึกษา โดยให้เหตุผลว่าบริษัทเหล่านี้ช่วยอำนวยความสะดวกในการตัดสินใจลงคะแนนเสียงที่มีความซับซ้อนเกินกว่าที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยจะติดตามได้ทั้งหมด

อนึ่ง การดำเนินการของปธน.ทรัมป์ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายมุ่งเป้าจัดการบริษัทและอุตสาหกรรมเฉพาะกลุ่ม ดังที่เคยกล่าวหาธนาคารพาณิชย์เรื่องการเลือกปฏิบัติในการปล่อยสินเชื่อ และการโจมตีสำนักงานกฎหมายที่ถูกมองว่าเป็นปรปักษ์ทางการเมือง

ความพยายามของฝ่ายพรรครีพับลิกันในการจำกัดบทบาทของบริษัทเหล่านี้ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเพียงบางส่วนเนื่องจากมีข้อโต้แย้งทางกฎหมาย

เมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางได้พิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นว่า ISS ไม่ได้กระทำการในลักษณะ “ชักชวน” ให้มอบฉันทะในการออกเสียงลงคะแนน ซึ่งผลแห่งคำพิพากษานี้ทำให้ระเบียบข้อบังคับเมื่อปี 2563 ที่จะกำหนดให้บริษัทต้องเปิดเผยคำแนะนำต่อสาธารณะเป็นอันตกไป ประกอบกับในเดือนส.ค. ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางได้มีคำสั่งระงับการบังคับใช้กฎหมายของรัฐเท็กซัสที่ห้ามไม่ให้บริษัทที่ปรึกษาให้คำแนะนำในประเด็นความหลากหลายและสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันต่อบริษัทเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่ เห็นได้จากการที่เจมส์ อัธไมเออร์ อัยการสูงสุดรัฐฟลอริดา ได้ยื่นฟ้องบริษัททั้งสองแห่งเมื่อเดือนพ.ย. ในข้อหาละเมิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคและกฎหมายป้องกันการผูกขาด เช่นเดียวกับอัยการสูงสุดรัฐเท็กซัสที่ได้เริ่มกระบวนการสอบสวนในลักษณะเดียวกัน

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ธ.ค. 68)