เลือกตั้ง’69: “จุลพันธ์” เชื่อนโยบาย-แคนดิเดตนายกฯ-ผลงานในอดีต ดึงคะแนนนิยม

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย (พท) กล่าวภายหลังประชุมวางแผนยุทธศาสตร์ในการเตรียมความพร้อมเลือกตั้ง ว่า เรามีการประชุมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้ง รวมถึงมีการประเมินกระแสหลังจากเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคทั้ง 3 คนแล้วว่าเป็นอย่างไร ทั้งในโซเชียลมีเดีย ซึ่งถือว่าได้รับความสนใจสูง

สำหรับนโยบายที่จะเป็นเรือธงในการหาเสียงที่ประกาศไปเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยพรรคฯ ยังคงยึดมั่นในเรื่องการแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิต และปากท้องของประชาชน เพราะขณะนี้ประชาชนยังตกอยู่ในความลำบากมานาน สิ่งที่เราพยายามทำในหลายมิติ เหมือนที่นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย นำเสนอเป็นภาพใหญ่คือเรื่องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนไปข้างหน้า การนำเทคโนโลยี AI และองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เข้ามาเพื่อเป็นสตรีมบอร์ดให้เศรษฐกิจไทยสามารถก้าวกระโดด ไปอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นอีกครั้ง

ขณะที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ได้นำเสนอนโยบาย เช่น การลดค่าครองชีพ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย รถเมล์ 10 บาท รวมถึงบ้านเพื่อคนไทย ซึ่งถือว่าเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ และลดรายจ่ายให้กับพี่น้องประชาชน หากค่าใช้จ่ายลดลงความสามารถในการแข่งขันก็จะสูงขึ้น ในส่วนที่ตนนำเสนอไป เช่น หวยเกษียณ การแก้ไขปัญหาหนี้สินในหลายๆ มิติ สิ่งเหล่านี้เราทำมาแล้วและต้องการที่จะเดินต่อ ทั้งนี้หากดูดีๆ จะเห็นภาพชัดเจนว่า เราต้องการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นหลัก และเชื่อมั่นว่าหลักการประชาธิปไตย เราต้องสร้างให้ประชาชนแข็งแรง เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน สามารถยืนอยู่ในสังคมได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งการที่เราจะเติมพลังทางเศรษฐกิจให้กับประชาชน ทำให้ประชาชนสามารถยืนขึ้นได้ อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี อีกครั้ง นี่คือหลักคิดของพวกเรา

ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้นถูกเสนอไปในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว และเราได้มีการดำเนินการให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางไปแล้ว 20 ล้านคน และยังค้างกับประชาชนอีก 20 ล้านคน เรื่องนี้เราคิดว่าต้องดำเนินการต่อในลักษณะที่ว่า เมื่อเราบริหารจัดการได้แล้ว เราจะดำเนินการให้กับกลุ่มที่ยังค้างอยู่ ซึ่งไม่ใช่นโยบาย แต่จะเป็นเรื่องที่จะดำเนินการให้ครบถ้วน

สำหรับความคาดหวังเก้าอี้ในสภาผู้แทนราษฎรนั้น นายสุริยะระบุชัดเจนว่า 200 บวกลบ เพราะเรามองว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคขนาดใหญ่ ขณะนี้เราทำงานเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งไปไกล มีนโยบายต่างๆ เชื่อมั่นว่า นโยบายจะถูกใจพี่น้องประชาชน รวมถึงตัวของแคนดิเดตนายกฯ และประวัติการทำงานของพรรคในอดีตที่ผ่านมาจะสามารถดึงใจพี่น้องประชาชนให้กลับมาสนับสนุนเราอีกครั้ง

“หากถามว่าถ้าการเลือกตั้งเกิดขึ้นวันนี้ เรามั่นใจ 200 หรือไม่ อาจจะยังนะ แต่เรามีเวลาอีก 2 เดือนในการที่จะทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน” นายจุลพันธ์ กล่าว

ส่วน สส.ที่ย้ายเข้า-ออกนั้นมีทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า มีความผสมผสานกัน แต่อย่างหนึ่งที่ต้องชี้ให้เห็นคือการเลือกตั้งทุกครั้งจะมีสมาชิกที่สอบได้ และสอบตก สอบไม่ได้มีประมาณ 30% แต่ครั้งที่แล้วรู้สึกว่าจะเยอะกว่าปกติอยู่ที่ประมาณ 40% ครั้งนี้ตนคิดว่าจะไม่หนีกัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าคนที่ไปจะสอบได้ทุกคน หรือต้องยอมรับว่า คนที่อยู่จะสอบได้ เราไม่สามารถนำเกมเก่าๆ มาวัดพี่น้องประชาชนได้ เพราะเป็นอำนาจการตัดสินใจของประชาชน

หากผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว ตัวเลข สส.ของพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย พอ ๆ กันจะจับมือกันหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เป็นธรรมชาติหากเสียงไม่ถึงก็ต้องมีกลไกในการเจรจาหารือเพื่อให้ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นพรรคอันดับ 1 แคนดิเดตนายกฯ พรรคเราต้องเป็นนายกฯ หากไม่ใช่ก็ต้องเป็นพรรคที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ที่จะมีสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่ขณะนี้การต่อสู้ทางการเมือง พวกตนเต็มที่ พวกเราเดินหน้าหาเสียงอย่างเต็มกำลัง ย้ำว่า การแข่งขันทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ เมื่อจบแล้วสุดท้ายการเมืองก็เป็นเรื่องคณิตศาสตร์ คือต้องดูว่าใครมีจำนวนเท่าไหร่ จะรวมอย่างไรเพื่อให้ได้รัฐบาลที่มีความแข็งแรง นโยบายของพรรคหลักสามารถผลักดัน หรือขับเคลื่อนได้หรือไม่ มีอุดมการณ์หรือแนวความคิดตรงกันหรือไม่อย่างไร แต่ในขณะนี้ยังไม่ได้ปิดกั้นว่าจะต้องคุยกับใคร หรือไม่คุยกับใคร

กรณีที่นายกฤษฎา หลีนวรัตน์ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี พร้อมลูกชาย ย้ายไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทยนั้น ตนคิดว่าแต่ละคนอาจจะมีเหตุผล และความจำเป็น ซึ่งตนไม่ได้พูดคุยกับเขา เพราะไม่ได้มีความสนิทคุ้นเคยกันส่วนตัว ฉะนั้นจึงไม่รู้เหตุผล แต่ในส่วนของการขยับหรือเคลื่อนไหวของคนที่เป็นนักการเมืองในช่วงเลือกตั้งถือเป็นเรื่องปกติ

“ผู้สมัครพวกผมไม่ได้ขาดแคลน ตอนนี้เต็มพื้นที่ เราส่งผู้สมัครครบ 400 เขตแน่นอน ซึ่งการเปลี่ยนสังกัดพรรค หากเป็นเรื่องของแนวความคิด หรืออุดมการณ์เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเป็นเรื่องของการใช้อามิสสินจ้าง เป็นเรื่องเงินทองที่เรียกว่าดูด หรืองูเห่า ก็เป็นอีกเรื่อง ซึ่งต้องไปดูต้นสังกัดที่ย้ายไป ไปถามเขาดูว่ากระบวนการที่เขาใช้คืออะไร ถูกต้องหรือไม่ เพราะหากเริ่มต้นด้วยการดึงด้วยเงินทอง สิ่งตอบแทนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหรืออะไรก็ตาม สุดท้ายจะนำไปสู่สังคมประชาธิปไตยที่บิดเบี้ยว และจะเกิดการทุจริตคอร์รัปชัน ประเทศชาติมีความเสียหายในอนาคต หากจะมาสัมภาษณ์คนที่ถูกดึงไปคงไม่ถูก ให้ไปถามฝั่งนั้นดีกว่า” นายจุลพันธ์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ธ.ค. 68)