
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานและโฆษกกลุ่มฯ ยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนพ.ย. 68 ส่งออกได้ 78,692 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้ว 5.26% และลดลงจากเดือนพ.ย. 67 ที่ 12.22% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายในบางรุ่นเพื่อส่งออก ส่งผลให้ส่งออกรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายในลดลงถึง 43.53% และส่งออกรถกระบะลดลง 6.39% แต่ยังคงส่งออกรถกระบะไฟฟ้าและรถยนต์นั่งไฟฟ้าต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางปี ตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นมีแค่เอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย เท่านั้น และชิ้นส่วนรถยนต์ส่งออกเพิ่มขึ้น 6.19%
สำหรับมูลค่าการส่งออกรถยนต์อยู่ที่ 72,632.02 ล้านบาท ลดลงจากเดือนพ.ย. 67 ที่ 6.52% ทั้งนี้ ส่งผลให้ช่วง 11 เดือนปี 68 (ม.ค.-พ.ย.) มียอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 850,787 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกัน 9.77% มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 567,983.18 ล้านบาท ลดลงจากเดือนม.ค.-พ.ย. 67 ที่ 12.18%
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า มีความกังวลว่ายอดส่งออกรถยนต์อาจไม่ถึงเป้าปี 68 ที่ตั้งไว้ที่ 9.5 แสนคัน เนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอนของภาษีสหรัฐฯ
จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนพ.ย. 68 มีทั้งสิ้น 130,222 คัน ลดลงจากเดือนต.ค. 68 ที่ 4.03% แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. 67 ที่ 11.06% จากการผลิตเพื่อขายในประเทศที่เพิ่มขึ้นถึง 57.49% เพราะต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยในอัตรา 1.5 เท่าของยอดรถไฟฟ้านำเข้ามาจำหน่ายในปี 65-66 ที่ยังผลิตไม่ครบในปีที่แล้ว ส่งผลให้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 1,974.14% และผลิตรถกระบะเพิ่มขึ้น 7.34% จากการผลิตเพื่อขายในประเทศที่ผลิตเพิ่มขึ้น 44.31%
สำหรับจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 68 (ม.ค.-พ.ย.) มีจำนวนทั้งสิ้น 1,341,714 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 67 ที่ 1.64% โดยคาดว่าจะได้ตามเป้าปี 68 ที่ตั้งไว้ที่ 1.45 ล้านคัน
ทั้งนี้ แบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก เดือนพ.ย. 68 ผลิตได้ 71,589 คัน โดย 11 เดือนแรกของปี 68 (ม.ค.-พ.ย.) ผลิตเพื่อส่งออกได้ 862,886 คัน ส่วนการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนพ.ย. 68 ผลิตได้ 58,633 คัน โดย 11 เดือนแรกของปี 68 (ม.ค.-พ.ย.) ผลิตได้ 478,828 คัน
“เป้าผลิตเพื่อขายในประเทศอยู่ที่ 5 แสนคัน ส่วนเป้าผลิตเพื่อส่งออกอยู่ที่ 9.5 แสนคัน ซึ่งยังกังวลว่าจะไม่ถึงเป้าเพราะมีความไม่แน่นอนจากภาษีสหรัฐฯ” นายสุรพงษ์ กล่าว
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพ.ย. 68 มีจำนวนทั้งสิ้น 51,044 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค. 68 ที่ 8.53% และเพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. 67 ที่ 20.65% จากรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่ขายได้เพิ่มขึ้นเพราะราคาจับต้องได้มากขึ้นและจากรถกระบะดัดแปลง PPV ที่บางบริษัทเพิ่งขายในปีนี้ รถกระบะไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้าเพิ่มระยะทางที่เริ่มขายในปีนี้ รวมทั้งหลักฐานการเงินของผู้ซื้อรถกระบะแข็งแรงขึ้น ช่วยให้ยอดขายรถกระบะไม่ลดลงเป็นเดือนแรก โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงซึ่งจะส่งผลลดภาระให้ผู้เช่าซื้อและผู้มีหนี้ลง ชำระคืนเงินต้นได้มากขึ้น มีเงินเหลือไปจับจ่ายซื้อสินค้าจำเป็นอื่น ๆ ได้มาตรฐาน โรงงานผลิตมากขึ้น จ้างงานเพิ่มขึ้น ประชาชนมีรายได้มากขึ้น เป็นการเริ่มต้นสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้นเสียที
ทั้งนี้ ส่งผลให้ช่วง 11 เดือนปี 68 (ม.ค.-พ.ย.) รถยนต์มียอดขาย 546,045 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 67 ที่ 5.28%
“คาดว่ายอดขายในประเทศจะได้ถึง 6 แสนคัน จากปัจจัยที่มียอดจองในงานมอเตอร์โชว์ที่มากถึง 7 หมื่นคัน อย่างไรก็ดี ก็ยังมีความกังวลเรื่องการส่งมอบว่าจะได้มากน้อยเท่าไร ซึ่งถ้าส่งมอบไม่ทันก็อาจไม่ถึง 6 แสนคันได้” นายสุรพงษ์ กล่าว
– ยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 12,436 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ปีที่แล้ว 69.11% ส่งผลให้ช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ (เดือนม.ค.-พ.ย. 68) มีจดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 129,044 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 44.28% และนับถึงวันที่ 30 พ.ย. 68 มียอดจดทะเบียนสะสมจำนวนทั้งสิ้น 354,480 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 60.81%
– ยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 10,912 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ปีที่แล้ว 29.77% ส่งผลให้ช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ (เดือนม.ค.-พ.ย. 68) มีจดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 596,945 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 28.75% และนับถึงวันที่ 30 พ.ย. 68 มียอดจดทะเบียนสะสมจำนวนทั้งสิ้น 129,324 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 6.68%
– ยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 1,072 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ปีที่แล้ว 39.40% ส่งผลให้ช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ (เดือนม.ค.-พ.ย. 68) มีจดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 17,547 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 98.23% และนับถึงวันที่ 30 พ.ย. 68 มียอดจดทะเบียนสะสมจำนวนทั้งสิ้น 80,528 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 28.50%
ส.อ.ท. วางเป้าประมาณการปี 69 ในส่วนยอดผลิตรถยนต์อยู่ที่ 1.45 ล้านคัน และยอดส่งออกรถยนต์อยู่ที่ 9.5 แสนคัน เท่าปี 68 ไว้ก่อน โดยโดยจะรอประเมินสถานการณ์ ทั้งความชัดเจนของภาษีทรัมป์ และการเลือกตั้งในปีหน้าก่อน
“ตอนนี้ยังไม่เห็นตัวเลขเดือนธ.ค. 68 เบื้องต้นสถานการณ์เรื่องการส่งออก ยังมีความไม่แน่นอน ต้องรอดูภาษีทรัมป์ว่าจะสุดท้ายแล้วจะผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งคาดว่าจะชัดเจนในไตรมาส 1-2/69 ส่วนการผลิตรถยนต์เพื่อขายในประเทศ ก็ต้องรอดูความชัดเจนว่า เมื่อมีการเลือกตั้งใครจะเป็นรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี นอกจากนี้ ต้องรอดูว่างบประมาณรายจ่ายปี 70 จะผ่านสภาเมื่อไร จะทันใช้ในวันที่ 1 ต.ค. หรือไม่ นโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภาเป็นของพรรคไหน มาตรการเศรษฐกิจที่จะกระตุ้น ซึ่งคาดว่าช่วงกลางปีหน้าน่าจะเห็นความชัดเจน” นายสุรพงษ์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ธ.ค. 68)





