ผู้นำเวเนซุเอลาประณามสหรัฐฯ เพิ่มแรงกดดันทางทหารในแคริบเบียน

อีวาน กิล รัฐมนตรีต่างประเทศเวเนซุเอลา เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (22 ธ.ค.) ว่า ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ของเวเนซุเอลา ได้ส่งจดหมายถึงผู้นำประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริบเบียน เพื่อประณามการยกระดับการดำเนินการของสหรัฐฯ ต่อเวเนซุเอลา ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเสถียรภาพของภูมิภาค

กิลกล่าวระหว่างอ่านจดหมายว่า “ข้าพเจ้าเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อแจ้งเตือนท่านถึงการยกระดับการรุกรานที่ร้ายแรงอย่างยิ่งของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งผลกระทบได้ลุกลามเกินกว่าประเทศของข้าพเจ้า”

จดหมายระบุว่า นับตั้งแต่เดือนส.ค.ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้สั่งการให้มีการเคลื่อนกำลังทางเรือและอากาศครั้งใหญ่ในทะเลแคริบเบียน รวมถึงการส่งเรือดำน้ำนิวเคลียร์ ภายใต้ข้ออ้างของปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติด พร้อมชี้ว่า การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงจากการใช้กำลัง และเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ

นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 2 ก.ย. ถึง 18 ธ.ค. กองกำลังสหรัฐฯ ได้ปฏิบัติการโจมตีด้วยขีปนาวุธต่อเรือพลเรือนในทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก รวม 28 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 104 รายจากการประหารชีวิตนอกกระบวนการยุติธรรม

ข้อความในจดหมายยังระบุเพิ่มเติมว่า เมื่อไม่นานมานี้ สหรัฐฯ ได้ยึดเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำ ที่ขนน้ำมันดิบจากเวเนซุเอลารวมราว 4 ล้านบาร์เรล และประกาศปิดล้อมทางทะเลอย่าง “เบ็ดเสร็จ” ต่อเรือบรรทุกน้ำมันที่ขนส่งน้ำมันดิบของเวเนซุเอลา พร้อมเสริมว่า ว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำอันเป็นโจรสลัดตามกฎหมายระหว่างประเทศ

ขณะเดียวกัน จดหมายฉบับนี้ยืนยันจุดยืนของเวเนซุเอลาในการยึดมั่นสันติภาพ พร้อมระบุว่า เวเนซุเอลามีความพร้อมอย่างชัดเจนในการปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และทรัพยากรของชาติ ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประธานาธิบดีมาดูโรยังเตือนว่า การโจมตีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันและพลังงาน เพิ่มความผันผวนในตลาดโลก และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของลาตินอเมริกา แคริบเบียน และเศรษฐกิจโลกโดยรวม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ธ.ค. 68)