
ตลาดหุ้นยุโรปปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพุธ (24 ธ.ค.) และมีแนวโน้มทำผลงานรายปีแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2564 โดยได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง การผลักดันการใช้จ่ายด้านการคลังของเยอรมนี และการกระจายการลงทุนออกจากหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าสูง
- ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 588.70 จุด ลดลง 0.03 จุด หรือ -0.01%
- ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,103.58 จุด ลดลง 0.27 จุด หรือ -0.00% และ
- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,870.68 จุด ลดลง 18.54 จุด หรือ -0.19%
- ส่วนตลาดหุ้นเยอรมนีปิดทำการเนื่องในวันคริสต์มาสอีฟ
สภาพคล่องในตลาดหุ้นยุโรปค่อนข้างเบาบาง เนื่องจากตลาดหุ้นในอัมสเตอร์ดัม บรัสเซลส์ และปารีส ปิดการซื้อขายเร็วกว่าปกติ ส่วนตลาดแฟรงก์เฟิร์ตและมิลานปิดทำการตลอดทั้งวัน
หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราเป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด โดยหุ้นขนาดใหญ่อย่าง Richemont ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Cartier, หุ้น LVMH และหุ้น Kering ต่างปรับขึ้นราว 1%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ขยับขึ้น หลังราคาทองคำ เงิน พลาตินัม และทองแดงทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
หุ้นกลุ่มอากาศยานและกลาโหมติดลบ โดยลดลง 0.2% แม้ดัชนีกลุ่มนี้จะเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดของปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นเกือบ 56%
ดัชนี STOXX 600 ทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาลในวันอังคาร หลัง Novo Nordisk บริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของเดนมาร์กได้รับการอนุมัติจากสหรัฐฯ สำหรับการจำหน่ายยาลดน้ำหนักชนิดรับประทาน
บรรยากาศการลงทุนยังได้แรงหนุนจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวเร็วกว่าที่คาดในไตรมาส 3
นักวิเคราะห์ของ Capital.com ระบุว่า ปัจจัยดังกล่าวสนับสนุนตลาดหุ้น เนื่องจากช่วยตอกย้ำความคาดหวังว่ากำไรของบริษัทจะแข็งแกร่งต่อเนื่องไปจนถึงปี พ.ศ. 2569 แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้แนวโน้มนโยบายการเงินมีความซับซ้อนมากขึ้น
ตลาดคาดว่า ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนถัดไปจะมีจุดยืนที่ผ่อนคลาย ซึ่งทำให้แนวโน้มนโยบายของสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับนักลงทุนในปีหน้า ขณะที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของยุโรปมีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้นจนถึงปี 2569 หลังธนาคารกลางยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และส่งสัญญาณว่าอาจยุติวงจรการผ่อนคลายนโยบาย ซึ่งอาจทำให้ทิศทางนโยบายแตกต่างจากสหรัฐฯ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ธ.ค. 68)




