
เคปเลอร์ (Kpler) ซึ่งเป็นบริษัทติดตามข้อมูลการขนส่ง คาดการณ์ว่า การส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ทั่วโลกในปี 2568 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 4% จากปีที่แล้ว สู่ระดับ 429 ล้านตัน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายปีมากที่สุดในรอบ 3 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งในปีนั้นโต 4.5%
ปัจจัยบวกหลักที่ผลักดันยอดส่งออกในปีนี้ มาจากการเร่งกำลังการผลิตของโครงการใหม่ ๆ ในอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะโครงการ LNG Canada และ Plaquemines ในสหรัฐฯ ส่งผลให้สหรัฐฯ ยังคงครองตำแหน่งผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกอย่างเหนียวแน่น
ทั้งนี้ คาดว่าสหรัฐฯ จะกลายเป็นประเทศแรกในประวัติศาสตร์ที่ส่งออก LNG มากกว่า 100 ล้านตันในปีนี้ และคาดว่าสหรัฐฯ จะเพิ่มอุปทานก๊าซ LNG อย่างต่อเนื่อง โดยจะเพิ่มผลผลิตเป็นสองเท่าภายในสิ้นทศวรรษนี้ (หรือภายในปี 2573) ซึ่งจะช่วยหนุนการส่งออกให้สูงขึ้นด้วย
สถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะฉุดราคาก๊าซในเอเชียและยุโรปปรับตัวลดลง โดยในขณะนี้ ราคาก๊าซในเอเชียอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งปีแล้ว ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าในยุโรปร่วงลงมากกว่า 40% นับตั้งแต่ต้นปีนี้
นอกจากนี้ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ความต้องการเรือขนส่ง LNG ปรับตัวสูงขึ้น โดยในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ต้นทุนการขนส่ง LNG ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี เนื่องจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ความต้องการเรือบรรทุกก๊าซเพิ่มสูงขึ้นตาม
ข้อมูลจากเคปเลอร์ระบุว่า ตัวเลขการส่งออกในเดือนธ.ค.มีแนวโน้มจะทำสถิติสูงสุดระดับใหม่ที่ประมาณ 41 ล้านตัน โดยจีนและญี่ปุ่นยังคงเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งครองอันดับหนึ่งร่วมกันในปีนี้
นอกจากนี้ คาดว่าปริมาณการซื้อขาย LNG จะยังคงขยายตัวราว 7.5% – 8% ในปีหน้า โดยได้แรงหนุนจากอุปทานระลอกใหม่และราคาที่ปรับลดลง ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นความต้องการให้เพิ่มขึ้นด้วย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ธ.ค. 68)





