(เพิ่มเติม) เพื่อไทย จวก "สุพัฒนพงษ์" บริหารน้ำมันผิดพลาด มุ่งแต่รีดภาษีไม่สนใจศก.ภาพรวม

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึงกรณีรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลง ซึ่งมีผลให้ดีเซล B7 ลดลงทันทีลิตรละ 1 บาท จากที่เสนอให้ลดการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 5 บาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงลำบากนั้น และยังให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. พลังงาน มาตอบโต้ โดยอ้างว่าหากไม่เก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลในภาวะปกติ เงินภาษีรัฐจะขาดหายไปเป็นแสนล้านบาท

นายพิชัย กล่าวว่า การที่ รมว.พลังงาน ห่วงว่ารายได้จะขาดหายไป ทั้งๆ ที่ในสมัยก่อนไม่ได้รายได้นี้อยู่แล้ว แสดงถึงความล้มเหลวของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่หวังพึ่งแต่การรีดภาษีจากประชาชน โดยไม่ได้สนใจความลำบากของประชาชน ดังนั้น จึงอยากให้นายสุพัฒนพงษ์ ได้ไปศึกษารายละเอียดในอดีตของเรื่องนี้ก่อน อีกทั้งในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ รัฐบาลที่มีความสามารถและคิดได้ มักจะต้องลดภาษีเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่นายสุพัฒนพงษ์ เข้ามาบริหารประเทศ ประชาชนยังไม่เห็นว่านายสุพัฒนพงษ์ ได้ทำอะไรเป็นประโยชน์ นอกจากแนะนำให้คนควักเงินออมออกมาใช้ ทั้งๆ ที่คนจนกันหมดแล้ว และล่าสุดที่ตอบในสภา นายสุพัฒนพงษ์ ยังหลงคิดว่าเศรษฐกิจไทยยังดี ทั้งที่คนกำลังลำบากกันอย่างมากทั้งประเทศ การอ้างบริษัทเครดิตเรตติ้งมูดี้ส์ ยังคงอันดับให้ไทย ซึ่งมาจากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสะสมที่มาจากหลายรัฐบาลในอดีต แต่ประเทศไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและขาดดุลการคลังอย่างมาก เศรษฐกิจจะดีได้อย่างไร

"พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะรู้ตัวได้แล้ว ว่าเลือกคนไม่ถูกกับงานมาบริหาร เศรษฐกิจถึงได้ล้มเหลวมาตลอดมา ตั้งแต่นายสมคิดมาแล้ว ความล้มเหลวของนายสุพัฒนพงษ์ พิสูจน์ได้ชัดเจน เมื่อมีชื่อนายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการ WTO จะเข้ามาแทนนายสุพัฒนพงษ์ คนจึงดีใจกันใหญ่" นายพิชัยกล่าว

พร้อมระบุว่า การจะฟื้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาความลำบากของประชาชน รัฐบาลจะต้องเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ถ้าคิดเฉพาะกรอบแคบๆ แค่ห่วงภาษีที่จะขาด รัฐบาลจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย และจะยิ่งทำให้มีปัญหามากขึ้น ผู้บริหารเศรษฐกิจจะต้องมองภาพรวมของเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ของเรื่องต่างๆได้ ถึงจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้

นายพิชัย กล่าวด้วยว่า ปัญหาด้านพลังงานยังมีอยู่มาก ทั้งการผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการถึง 50% ทำให้ไฟฟ้าราคาแพงเพราะต้องจ่ายค่าความพร้อมสูง การปรับโครงสร้างราคาพลังงานที่บริษัทพลังงานเอาเปรียบประชาชน แต่นายสุพัฒนพงษ์ ไม่กล้าแตะ เพราะเคยทำงานใน บมจ. ปตท. (PTT) มาก่อน อีกทั้งยังเคยมีปัญหาน้ำมันปาล์มหายจำนวนมหาศาล มูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท

"ที่สำคัญจากข้อมูลที่ได้รับมา ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ที่การบริหารกระทรวงพลังงานของนายสุพัฒนพงษ์ กลับปล่อยให้นายทุนพลังงานที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาสั่งงานทุกเรื่องได้ตามชอบใจ ขนาดข้าราชการระดับสูงยังต้องไปขออนุญาตจากนายทุนพลังงานในทุกเรื่องสำคัญ ก็อยากให้นายสุพัฒนพงษ์ชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวว่าจริงหรือไม่ และหากเป็นจริง นายสุพัฒนพงษ์ควรจะยังคงดำรงตำแหน่งอยู่หรือไม่" นายพิชัยระบุ

ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายพิชัยระบุว่า รัฐบาลควรลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง 5 บาท/ลิตร โดยเปรียบเทียบกับสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่จัดเก็บอัตราภาษีน้ำมันดีเซลเพียงลิตรละ 0.005 บาท/ลิตรนั้น เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำมันดิบโลกอยู่ที่ 77.30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (ข้อมูล ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2564) ต่างจากสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เคยสูงประมาณ 106.86 เหรียญหรัฐ/บาร์เรล (เดือนสิงหาคม 2554) ในขณะนั้นจึงต้องมีการลดอัตราภาษีน้ำมันและเงินนำส่งเข้ากองทุนลดลง ดังนั้น ขณะนี้จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องลดอัตราภาษีลง แต่รัฐบาลจะติดตามสถานการณ์น้ำมันอย่างใกล้ชิด

"นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใย จึงเร่งรัดทุกฝ่ายติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานอย่างใกล้ชิด รวมถึงให้กระทรวงพลังงานเตรียมมาตรการรับมือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนอยู่เสมอ ทั้งเรื่องราคา LPG การรักษาค่า FT ในส่วนของค่าไฟฟ้า และดูแลเกษตรกรให้ยังได้รับผลประโยชน์จากการผลิตปาล์มน้ำมัน รวมทั้งผู้ผลิตยังสามารถส่งออกน้ำมันปาล์มได้อย่างต่อเนื่อง เพราะรัฐบาลมีเจตนารมณ์สำคัญที่จะบรรเทาผลกระทบจากราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ให้คนไทยในฐานะผู้บริโภคได้ประโยชน์สูงสุด" นายธนกร กล่าว

โฆษกรัฐบาล กล่าวต่อว่า ราคาขายน้ำมันแต่ละประเทศขึ้นอยู่กับนโยบายของประเทศนั้นๆ แต่ละประเทศมีมาตรการภาษี ระบบการเก็บเงินเข้ากองทุนหรืออุดหนุนราคาพลังงานที่แตกต่างกัน ราคาหน้าโรงกลั่น ค่าเงินบาท ซึ่งความจริงแล้วราคาน้ำมันในปัจจุบันไม่ได้สูงไปกว่ารัฐบาลก่อนตามที่นายพิชัย ออกมาแสดงความเห็นเรื่องภาษีน้ำมันสรรพสามิตในรัฐบาลก่อน แต่บริบทที่เปลี่ยนไปมีความแตกต่างต่อการบริหารประเทศอยู่แล้ว ซึ่งรัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือในหลายแนวทาง และต้องมีการบริหารการเงินการคลังให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ด้วย

นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันระหว่างประเทศไทยและประเทศอื่นๆ พบว่า ประเทศไทยไม่ได้ขายน้ำมันแพงที่สุดในโลก ราคาน้ำมันเบนซินอ้างอิง ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2564 ประเทศไทยขายอยู่ที่ 31.15 บาท/ลิตร กัมพูชา 37.22 บาท/ลิตร และสิงคโปร์ 63.79 บาท/ลิตร ส่วนราคาน้ำมันดีเซลอ้างอิง ณ วันที่ 4 ตุลาคม เช่นกัน ประเทศไทยขายอยู่ที่ 28.29 บาท/ลิตร กัมพูชา 30.19 บาท/ลิตร และสิงคโปร์ 51.87 บาท/ลิตร