นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า ที่ประชุม สมช. ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธาน มีมติเห็นชอบมาตรการ 2 ส่วน หลังตรวจพบการลักลอบนำอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เข้ามาในพื้นที่ประเทศ ได้แก่
1) มาตรการระยะเร่งด่วน โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การท่าอากาศยาน สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย กสทช. เหล่าทัพ ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานด้านความมั่นคง สนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านการป้องกัน การสืบสวนสอบสวน และการใช้ระบบต่อต้านโดรน (Anti-Drone) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการโดรนเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยง
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติให้กระทรวงกลาโหม พิจารณาผ่อนคลายมาตรการอนุญาตการนำเข้าโดรนสำหรับหน่วยงานที่จำเป็น พร้อมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการลักลอบนำโดรนเข้าพื้นที่ชายแดนและพื้นที่อื่น ๆ รวมถึงย้ำว่าการใช้โดรนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่ด้านความมั่นคงและสนามบิน ถือเป็นความผิดที่มีโทษร้ายแรง จำเป็นต้องสื่อสารให้ประชาชนและทุกภาคส่วนรับทราบอย่างชัดเจน
2) มาตรการระยะยาว ที่ประชุม สมช. ได้มอบหมายให้กองทัพอากาศเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการทำงานของทุกหน่วย เพื่อให้เกิดเอกภาพ โดยให้จัดตั้งองค์กรเฉพาะกิจ เบื้องต้นใช้ชื่อว่า "ศูนย์บริหารจัดการควบคุมต่อต้านอากาศยานไม่มีคนขับแห่งชาติ" ควบคู่กับการเตรียมพิจารณาเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัย รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมในอนาคต และพิจารณาทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มโทษกรณีการใช้โดรนเป็นภัยต่อความมั่นคง
ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การปฏิบัติการเกี่ยวกับอากาศยานไร้คนขับ เป็นการดำเนินงานร่วมภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอากาศยานไร้คนขับของกองทัพอากาศ ตามมติ สมช. ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา โดยแบ่งพื้นที่รับผิดชอบออกเป็นวงใน วงกลาง และวงนอก ซึ่งพื้นที่วงในหรือ "ไข่แดง" เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อยู่ภายใต้ความร่วมมือของกองทัพอากาศ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ส่วนวงนอก หรือ "ไข่ขาว" อยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพบก ซึ่งมีผลการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและชัดเจน
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะได้นำมติที่ประชุมไปกำหนดมาตรการและแผนปฏิบัติยุทธศาสตร์ด้านการป้องกัน ปราบปราม และสืบสวนสอบสวน รวมถึงการยกระดับความมั่นคงทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยใช้รูปแบบการดูแลพื้นที่สนามบินของกองบัญชาการตำรวจนครบาลและสนามบินจังหวัดนครราชสีมาเป็นต้นแบบ พร้อมจัดทำแผนเผชิญเหตุไว้อย่างครบถ้วน
อย่างไรก็ดี ในด้านกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ย้ำว่า การใช้โดรนในพื้นที่ห้ามบินหรือบริเวณสนามบิน เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีโทษร้ายแรงสูงสุดถึงประหารชีวิต และหากการสอบสวนพบว่า เข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หมวดความมั่นคงของรัฐ ซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต
ก่อนหน้านี้ สำนักงานการบินพลเรือนได้ออกประกาศกำหนดพื้นที่ควบคุม ตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. 68 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค. 68 ครอบคลุมพื้นที่ควบคุม 7 จังหวัดชายแดน รวมถึงสนามบินและจุดสำคัญทั่วประเทศ เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงจากการใช้โดรน
จากกรณีพบวัตถุลักษณะคล้ายโดรนบินอยู่บริเวณปลายเส้นทางบินรันเวย์ที่ 1 ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อช่วงค่ำวันที่ 20 ธ.ค. ที่ผ่านมา พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า หลังรับแจ้งได้สั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ผู้บังคับการสื่อสารตำรวจภูธรภาค 1 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ รวมถึงผู้กำกับการสถานีตำรวจในพื้นที่รอบสนามบิน เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและตั้งจุดตรวจโดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามขั้นตอนของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และกองทัพอากาศ พบว่า แสงที่ประชาชนพบเห็นนั้นเป็นแสงจากเครื่องบินที่ทำการบินตามปกติ รวมถึงแสงจากหมู่ดาว ไม่พบการบินของโดรนหรืออากาศยานไร้คนขับในพื้นที่ต้องห้ามแต่อย่างใด
ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้กำชับเตือนประชาชนและผู้ครอบครองโดรนให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เนื่องจากการนำโดรนขึ้นบินในพื้นที่หวงห้าม โดยเฉพาะบริเวณสนามบิน ถือเป็นความผิดร้ายแรงตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีโทษหนักสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต
ส่วนกระแสข่าวความเป็นไปได้ของการแฝงตัวหรือใช้โดรนก่อกวน โดยแรงงานจากประเทศกัมพูชาในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า จากข้อมูลด้านการข่าวในขณะนี้ยังไม่พบหลักฐานว่า เป็นการกระทำของแรงงานกัมพูชา หรือกลุ่มบุคคลจากต่างประเทศแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ภายหลังสถานการณ์ความตึงเครียดในช่วงที่ผ่านมา ได้สั่งการให้เร่งปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว โดยฝ่ายความมั่นคงได้เปิดปฏิบัติการ "ยุทธการเอาพวกต่างด้าวออกนอกประเทศ" เพื่อกวาดล้างชาวต่างชาติและแรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองหรืออยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย โดยเพียงวันเดียวสามารถจับกุมชาวต่างชาติผิดกฎหมายได้มากกว่า 12,000 ราย ซึ่งทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีและผลักดันออกนอกประเทศทันที
"ขณะนี้อยู่ระหว่างการแยกสัญชาติ และวิเคราะห์ข้อมูลว่าเข้ามาประกอบกิจกรรมหรือธุรกิจใดในประเทศไทย อีกทั้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมีรายชื่อชาวต่างชาติที่ต้องเฝ้าระวังและตรวจสอบเพิ่มเติมประมาณ 300,000 ราย โดยอยู่ระหว่างการถอดและวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางเข้า-ออกประเทศของกลุ่มบุคคลดังกล่าวอย่างละเอียด" ผบ.ตร. กล่าว
ส่วนประเด็นความกังวลเรื่องการแทรกซึมของจารชนจากประเทศกัมพูชา ผบ.ตร. กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่พบข้อมูลหรือหลักฐานว่ามีจารชนจากประเทศดังกล่าวเข้ามาซุกซ่อนในประเทศไทย แต่ได้สั่งการให้หน่วยงานด้านความมั่นคงของตำรวจตรวจสอบอย่างละเอียด หากพบจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดตามกฎหมาย อีกทั้งยังได้เตือนผู้ประกอบการหรือเจ้าของสถานที่ ๆ ให้ที่พักพิงหรือจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายว่า จะถูกดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองอย่างเคร่งครัด และหากแรงงานเหล่านี้ออกไปก่อเหตุสร้างความวุ่นวายในพื้นที่ ผู้เกี่ยวข้องอาจมีความผิดเพิ่มเติม
สำหรับกรณีเหตุทะเลาะวิวาทของชาวกัมพูชาในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ที่มีการใช้อาวุธมีดและขว้างระเบิดปิงปอง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า จากการตรวจสอบล่าสุด ไม่พบว่าเป็นการก่อวินาศกรรมหรือการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ แต่เป็นการทะเลาะกันระหว่างชาวกัมพูชา 2 กลุ่มที่ท้าทายกันไปมา โดยมีผู้ก่อเหตุรวม 11 คน สามารถจับกุมได้แล้ว 3 คน และไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ด้านความมั่นคงแต่อย่างใด