เลือกตั้ง'69: กกต.สุรปยอดรับสมัคร สส.เขต-บัญชีรายชื่อ รวม 5,096 คน แคนดิเดตนายกฯ 94 คน

ว่าที่ ร.ต.ภาสกร สิริภคยาพร รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงสรุปภาพรวมการรับสมัครรับเลือกตั้ง สส. แบบแบ่งเขต, สส.แบบบัญชีรายชื่อ และบุคคลที่พรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ โดยข้อมูล ณ เวลา 16.00 น. วันนี้ (31 ธ.ค.68) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรับสมัคร พบว่า ผู้สมัคร สส.แบบแบ่งเขตทั้งหมด 400 เขต มีพรรคการเมือง 60 พรรค ส่งผู้สมัคร 3,526 คน ส่วนการรับสมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ มี 57 พรรคการเมือง ส่งผู้สมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ 1,570 คน

ทั้งนี้ มีพรรคการเมือง 43 พรรค ส่งรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 94 คน โดยเขตที่มีการส่งผู้สมัครมากสุด คือ เขต 30 กทม. (บางแค-ภาษีเจริญ) มีผู้สมัคร 19 คน และในจำนวนผู้สมัครทั้งหมด มีผู้สมัคร สส. อายุมากที่สุด คือ 90 ปี

รองเลขาธิการ กกต. กล่าวว่า กระบวนการหลังจากนี้ สำนักงานกกต. จะส่งข้อมูลผู้สมัครไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 26 หน่วยงานเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ อาทิ ศาลยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสรรพากร ฯลฯ ซึ่งหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลกลับมายังผู้อำนวยการประจำเขตการเลือกตั้ง โดยจะต้องมีการประกาศรายชื่อผู้สมัครแบบแบ่งเขตทั้งหมดทั่วประเทศ วันที่ 7 ม.ค.69 แต่ถ้ามีกรณีกกต. หรือผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง ไม่ประกาศรายชื่อบุคคลใดเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง บุคคลนั้นสามารถยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันประกาศรายชื่อ โดยการพิจารณาของศาลฎีกากำหนดไว้ว่า จะต้องพิจารณาวินิจฉัยให้เสร็จก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 3 วัน

ส่วนกรณีมีการประกาศรายชื่อออกมา แต่พบว่ามีประชาชนร้องคัดค้าน ผู้ร้องคัดค้านจะต้องยื่นคำร้องคัดค้านประกาศภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันประกาศรายชื่อผู้สมัคร หากผู้สมัครมีความมั่นใจว่าตัวเองมีสิทธิ์สมัครรับการเลือกตั้ง สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้ภายในระยะเวลา 3 วัน นับตั้งแต่กกต.ถอนชื่อ และกรณีสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง กกต.ประจำเขต หรือกกต. ตรวจสอบพบว่ามีผู้สมัครรายใดไม่มีสิทธิ์รับสมัครเพราะขาดคุณสมบัติ ก็จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ให้ถอนชื่อผู้สมัครออกจากประกาศบัญชีรายชื่อ

สำหรับผู้สมัครที่รู้ตัวอยู่แล้วว่ามีลักษณะต้องห้าม แต่ยังมาสมัครรับเลือกตั้ง จะมีความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสส. 2561 มาตรา 151 มีโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้ง 20 ปี ซึ่งกรณีนี้เป็นความผิดเฉพาะตัว ไม่เกี่ยวกับกรรมการบริหารพรรค