รฟท.งดเดินรถเส้นทางสายใต้-สายเหนือ-สายอีสาน เลี่ยงโควิด ตั้งแต่ 1 เม.ย.

นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ตามที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการประกาศข้อกำหนดออกตามตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่1) มีผลบังคับใช้ วันที่ 26 มี.ค.63 ประกอบกับได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 9 มี.ค.63 ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งรัดดำเนินการป้องกัน ควบคุม แก้ไขปัญหา และบรรเทาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ประกอบกับ จากการตรวจสอบการสถิติการเดินทางในช่วงเดือน มี.ค.63 พบว่า มีจำนวนผู้โดยสารยกเลิกการเดินทางเป็นจำนวนมาก ทำให้มีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยในแต่ละขบวนประมาณ 50% นอกจากนี้ ระบบการสำรองตั๋วโดยสารล่วงหน้าในเดือน เม.ย.63 พบว่า มีจำนวนผู้โดยสารสำรองตั๋วโดยสารลดลงและมีแนวโน้มลดลงเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการขอยกเลิกและคืนเงินค่าโดยสารของผู้โดยสาร เนื่องจากรัฐบาลประกาศงดวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์และการประกาศพื้นที่เสี่ยงของการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ในแต่ละจังหวัด

ดังนั้น รฟท.จึงได้จึงมีความจำเป็นในการประกาศงดเดินขบวนรถเชิงพาณิชย์ในเส้นทางสายใต้ สายเหนือ และสายตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเป็นการควบคุมและป้องกัน รวมทั้งลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.63 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์การจะคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารสามารถเดินทางกับขบวนรถที่มีความใกล้เคียงกับขบวนรถที่ถูกยกเลิกเพื่อเป็นการทดแทนได้ สำหรับขบวนรถที่งดเดินมีจำนวน 22 ขบวน

นายวรวุฒิฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้านมาตรการเสริม ได้มีการพ่วงตู้โดยสารที่เป็นรถนั่ง และนอนประเภทต่าง ๆ เพิ่มไปกับขบวนรถที่รองรับขบวนรถที่ยกเลิกไป นอกจากนี้ได้เพิ่มจุดจอดของขบวนรถด่วนที่ 85/86 กรุงเทพ – นครศรีธรรมราช – กรุงเทพ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับผู้โดยสาร เป็นกรณีชั่วคราว

สำหรับ ประชาชนที่ซื้อตั๋วโดยสารเดินทางกับขบวนรถดังกล่าวข้างต้น สามารถติดต่อขอคืนเงินได้ที่ช่องจำหน่ายตั๋วสถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค.63 เป็นต้นไป หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 มี.ค. 63)

Tags: , , , , ,
Back to Top