พาณิชย์ ชงผลศึกษา CPTPP เข้าครม.เคาะไทยเป็นสมาชิก หวังได้แต้มต่อทางการค้าหนุน GDP โต

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์เสนอผลศึกษาและระดมความเห็นในการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ของไทย ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาแล้ว

ทั้งนี้ ผลการศึกษาตามแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์สรุปว่า การเข้าร่วม CPTPP จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว โดย GDP จะขยายตัว 0.12% (คิดเป็นมูลค่า 13.32 พันล้านบาท) การลงทุนขยายตัว 5.14% (คิดเป็นมูลค่า 148.24 พันล้านบาท)

แต่หากไม่เข้าร่วม CPTPP จะส่งผลกระทบ GDP ไทยลดลง 0.25% (คิดเป็นมูลค่า 26.6 พันล้านบาท) และกระทบการลงทุน 0.49% (คิดเป็นมูลค่า 14,270 ล้านบาท) รวมทั้งจะทำให้ไทยเสียโอกาสขยายการค้าการลงทุนและการเชื่อมโยงห่วงโซ่หรือกระบวนการผลิตในภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน อาเซียน เช่น เวียดนาม และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นสมาชิก CPTPP แล้ว

นางอรมน กล่าวว่า ตั้งแต่ที่ความตกลง CPTPP หาข้อสรุปได้ในปี 58-62 การส่งออกของเวียดนามไปประเทศสมาชิก CPTPP เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7.85% และของสิงคโปร์ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.92% ขณะที่การส่งออกของไทยไป CPTPP เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 3.23% ส่วนเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้า (FDI Inflow) ของเวียดนาม และสิงคโปร์ ในปี 62 มีมูลค่า 16,940 และ 63,939 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ ขณะที่ของไทยมีมูลค่าเพียง 9,010 ล้านเหรียญสหรัฐ

เมื่อพิจารณาการค้ารวมระหว่างไทยกับสมาชิก CPTPP ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าสมาชิก CPTPP มาโดยตลอด ในปี 62 ไทยได้เปรียบดุลการค้ ที่ 9,605.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และไตรมาสแรกปี 2563 ได้เปรียบดุลการค้า 3,934 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงถือว่า CPTPP เป็นตลาดที่ไทยมีความพร้อมในการแข่งขัน

ผลการศึกษายังชี้ว่า กลุ่มสินค้าที่คาดว่าไทยจะได้ประโยชน์จากการเข้าสู่ตลาดสมาชิก CPTPP เช่น ญี่ปุ่น (เนื้อไก่แปรรูป เนื้อสุกรแปรรูป อาหารทะเลกระป๋อง ข้าว น้ ตาล) แคนาดา (อาหารทะเลปรุงแต่ง ข้าว ผลไม้ปรุงแต่ง ยางพารา ยางรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เครื่องทำความร้อน) เม็กซิโก/เปรู/ชิลี (ข้าว น้ำตาล เนื้อไก่สด ตู้เย็น รถยนต์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์โทรศัพท์ เครื่องซักผ้า ยางรถยนต์ เครื่องแต่งกาย เครื่องปรับอากาศ) เป็นต้น

สำหรับสาขาบริการและการลงทุน กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าไทยจะได้ประโยชน์ เช่น สาธารณสุข ก่อสร้าง ท่องเที่ยว เป็นต้น ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ไทยต้องเตรียมปรับตัว จะเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการผลิตน้อยกว่าประเทศสมาชิก CPTPP เช่น สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง สินค้าต้นทุนต่ำ แต่ก็จะมีเวลาในการปรับตัวเช่นเดียวกับสมาชิกอื่นๆ ที่ขอเวลาปรับตัวสูงถึง 21 ปี ซึ่งเป็นโอกาสของไทยที่จะต้องเร่งพัฒนาปรับโครงสร้างการผลิตและให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม และอาจนำเข้าวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตที่จะเป็นประโยชน์ต่อต้นทุนการผลิตของไทยมากขึ้น

นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะเป็นปัจจัยเร่งให้ระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน เปลี่ยนไป ส่งผลกระทบทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร แรงงาน เจ้าของกิจการ โดยเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาเติบโตเพราะไทย เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิตโลก ไทยมีศักยภาพในการผลิตสินค้า ที่มีก ลังการผลิตเพียงพอเกินความต้องการในประเทศ และสามารถเติบโตจนเป็นผู้ส่งออกที่ติดอันดับท๊อปเทนของโลกในสินค้าต่างๆ และมีการจ้างงานในอุตสาหกรรมเหล่านี้มาก เช่น อาหาร รถยนต์และชิ้นส่วน เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เป็นต้น

ภายหลังโควิด-19 รูปแบบการค้า กฎระเบียบการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศจะเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานของสินค้าที่สูงขึ้น การให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยของอาหาร สิ่งแวดล้อม แรงงาน ความโปร่งใส ธรรมาภิบาล การให้แต้มต่อทางการค้า และเปิดตลาดให้กับกลุ่มพันธมิตรทางการค้าหรือประเทศที่มีมาตรฐานเดียวกัน จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ไทยต้องหาพันธมิตรใหม่ๆ หรือเข้าเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงการค้าสมัยใหม่ อาทิ CPTPP เพื่อช่วยให้ไทยได้แต้มต่อทางการค้า และเป็นประเทศที่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุน รวมทั้งไม่ตกขบวนรถไฟของกระบวนการหรือห่วงโซ่การผลิตโลก และเป็นฐานการผลิตและการลงทุนในภูมิภาค ที่จะก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ และขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย

ในส่วนระเด็นที่มีผู้กังวลว่าความตกลง CPTPP จะส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงยา การคุ้มครองพันธุ์พืช และการเปิดตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของไทย นางอรมน กล่าวว่า ผลการศึกษาข้อในบทความตกลง CPTPP และข้อผูกพันของประเทศสมาชิก CPTPP พบว่า

(1) ความตกลงฯ ได้ถอดเรื่องการขยายขอบเขตและอายุคุ้มครองสิทธิบัตรยา ตลอดจนการผูกขาดข้อมูลผลการทดสอบยาออกไปแล้วตั้งแต่สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากการเจรจาความตกลง CPTPP จึงไม่มีข้อบทนี้ และสมาชิก CPTPP ไม่มีข้อผูกพันเรื่องนี้ นอกจากนี้ ความตกลง ข้อ 18.41 และ 18.6 กำหนดให้สมาชิกสามารถบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา(CL) และใช้มาตรการเพื่อดูแลเรื่องสาธารณสุข เพื่อดูแลเรื่องการเข้าถึงยาของประชาชนได้ตามความตกลงทริปส์ขององค์การการค้าโลก (WTO) ในทุกกรณี รวมถึงการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะที่ไม่ใช่เพื่อการค้า (public noncommercial use) อีกทั้งจะไม่สุ่มเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้องในประเด็นการใช้ CL เพราะข้อบทการลงทุนข้อที่ 9.8 เรื่องการเวนคืน (expropriation) ย่อหน้าที่ 5 ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าจะไม่นำมาใช้กับมาตรการ CL

นอกจากนี้ ข้อบทเรื่องการระงับข้อพิพาทข้อ 28.3.1 (C) ไม่ได้รวมเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเป็นส่วนหนึ่งของข้อบทในขอบเขตการระงับข้อพิพาทระหว่างสมาชิก CPTPP

(2) เรื่องการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่และการเข้าเป็นสมาชิกอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV 1991) ได้ให้ทางเลือกแก่สมาชิก CPTPP สามารถออกกฎหมาย กำหนดเป็นข้อยกเว้นให้เกษตรกรเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกในพื้นที่เพาะปลูกของตนได้ อีกทั้งสามารถใช้ประโยชน์จากผลผลิตและผลิตภัณฑ์ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของพันธุ์หากซื้อมาถูกกฎหมาย จึงแก้ปัญหาที่เกษตรกรมีข้อกังวลว่าจะไม่สามารถเก็บพันธุ์พืชไว้ปลูกต่อได้เมื่อเข้าเป็นสมาชิก UPOV รวมทั้งยังคงสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์พืชในกลุ่มพันธุ์พื้นเมือง พันธุ์ดั้งเดิม พันธุ์ป่าของพืชทุกชนิดรวมทั้งสมุนไพร และพันธุ์การค้าที่ไม่ได้รับการคุ้มครองไปปลูกต่อได้เหมือนเดิม

(3) สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ความตกลงฯ เปิดให้สมาชิกสามารถกำหนดมูลค่าขั้นต่ำของการแข่งขันในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ ถ้ามูลค่าต่ำกว่าที่กำหนดไว้ ก็ไม่ต้องเปิดให้สมาชิก CPTPP เข้ามาแข่งขันทำให้สมาชิก CPTPP สามารถดูแลผู้ประกอบการในประเทศ และมีระยะเวลาปรับตัว เช่น เวียดนาม ขอเวลาปรับตัวถึง 25 ปี

นอกจากนี้ สำหรับข้อกังวลอื่นๆ ที่มีหน่วยงาน ภาคเกษตร ภาคประชาสังคมหยิบยก ไทยก็จะต้องเข้าไปเจรจา ต่อรองเพื่อขอข้อยืดหยุ่น และข้อยกเว้น ที่จะไม่รวมเรื่องที่ไทยมีข้อกังวล หรือไม่พร้อมจะเปิดตลาด หรือไม่พร้อมจะปฏิบัติตามพันธกรณีไว้ในข้อผูกพันของไทย ดังเช่นที่ประเทศสมาชิก CPTPP มีการขอเวลาปรับตัว และขอข้อยกเว้นไว้ ซึ่งในส่วนการทำหนังสือถึง ครม.ของกระทรวงพาณิชย์ เป็นเพียงขอพิจารณาให้ไทยเคาะประตูไปเจรจากับสมาชิก CPTPP ซึ่งเป็นเพียงก๊อกแรก หรือขั้นตอนเริ่มต้นเท่านั้น เป็นการขอโอกาสไปคุยกับสมาชิก CPTPP เพื่อเตรียมตัวรับมือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และรูปแบบการค้าที่จะเปลี่ยนไปหลังโควิด-19

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ให้ความสำคัญกับการเตรียมกลไกช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกร SMEs และผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากความตกลงโดยอยู่ระหว่างศึกษาและหารือผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถจัดตั้งกองทุน FTA ที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพและความต้องการต่อผู้ได้รับผลกระทบอย่างมีประสิทธิภาพ

นางอรมน กล่าวว่า หาก ครม.เห็นชอบให้ไทยขอเจรจาเข้าร่วมความตกลง CPTPP ก็ยังมีอีกหลายขั้นตอน คือ ไทยจะต้องมีหนังสือถึงนิวซีแลนด์ ในฐานะประเทศผู้รักษาความตกลงฯ เพื่อขอเจรจาเข้าร่วม หลังจากนั้น จะมีการตั้งคณะเจรจาซึ่งประกอบด้วยผู้แทนของกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำหน้าที่เจรจาต่อรองเงื่อนไข ข้อยกเว้น และระยะเวลาในการปรับตัวของไทย เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด

และในระหว่างการเจรจาจะต้องมีกระบวนการที่โปร่งใส เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้าร่วมหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็น และความคืบหน้าต่างๆ ซึ่งในท้ายที่สุด การตัดสินใจว่า ไทยจะยอมรับผลการเจรจา และเข้าร่วมความตกลง CPTPP หรือไม่ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ

ส่วนกรณีที่มีหลายฝ่ายออกมาคัดค้านและไม่สนับสนุนให้ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP นั้น อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า เป็นสิทธิของแต่ละฝ่ายที่จะออกมาแสดงความเห็น แต่ในส่วนของกรมฯ มีหน้าที่ในการศึกษาข้อดีข้อเสียของการเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP และทำเป็นข้อสรุปส่งให้ ครม.พิจารณา ส่วนจะบรรจุเป็นวาระเมื่อใดและผลจะเป็นอย่างไรคงยากจะคาดเดา

“หน้าที่ของกรมฯคือศึกษาผลประโยชน์และผลกระทบที่ไทยจะได้รับ ตอนนี้เราทำการบ้านเสร็จแล้วนำเสนอให้ ครม.พิจารณาว่ามีมติให้เข้าร่วมเจรจาเป็นสมาชิก CPTPP ว่าไทยสนใจขอคุย กรมเจรจาฯก็พร้อมจะไปคุย ส่วน 7 ประเทศที่เข้าร่วมสัตยาบันกันแล้วลงมติว่าจะคุยด้วยหรือเปล่าก็แล้ว ถ้า 7 ประเทศเห็นพ้องว่ายินดีรับไทยเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกเราก็ต้องคณะเจรจากว่าจะจบสิ้นก็คงอีกนาน…แต่ตอนนี้อยู่ที่ ครม.จะนำเข้าพิจารณาเมื่อไหร่ ผลจะเป็นอย่างไร หรือ หาก ครม.ตีกลับมาให้ไปศึกษาเพิ่มเติมก็แล้วแต่ ครม.”

นางอรมน กล่าว

อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ติดตามความคืบหน้าประเทศอื่นๆ ที่แสดงความจำนงในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP ว่าแต่ละประเทศมีความคืบหน้าอย่างไร แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่เป็นทางการออกมา คาดว่าน่าจะยังอยู่ระหว่างการศึกษาข้อได้เปรียบเสียเปรียบเช่นเดียวกับไทย

CPTPP หรือ Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership หรือ ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก โดยเป็นความตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมในเรื่องการค้า การบริการ และการลงทุนเพื่อสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งในประเด็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมถึงกลไกแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลและนักลงทุนต่างชาติ

ปัจจุบันมีประเทศที่ให้สัตยาบันความตกลง CPTPP แล้ว 7 ประเทศ ได้แก่ เม็กซิโก แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเวียดนาม ขณะที่มีประเทศที่แสดงความสนใจเข้าร่วมเป็นสมิก CPTPP เช่น สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ โคลัมเบีย อินโนดีเซีย และฟิลิปปินส์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 เม.ย. 63)

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 เม.ย. 63)

Tags: , , , ,
Back to Top