GPSC เผยกำไร Q1/63 โต 68% รับรู้ผลประกอบการ GLOW พร้อมขยายงานตามแผน

นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/63 บริษัทฯ มีรายได้รวม 18,308 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9,241 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 102% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่มีกำไรสุทธิ 1,580 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 638 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากการรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และการรับรู้ผลประกอบการจากบมจ.โกลว์ พลังงาน (GLOW) เต็มไตรมาสเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่รับรู้รายได้เพียง 18 วัน

ทั้งนี้ รายได้จากผลประกอบการหลัก ๆ ได้แก่ จากการขายไฟฟ้าประเภทผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระรายใหญ่ (IPP) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2,864 ล้านบาท โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าศรีราชาเพิ่มขึ้น 461 ล้านบาท จากการเรียกรับไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การรับรู้ได้รายได้จาก IPP ทั้ง 3 แหล่งของ GLOW เพิ่มขึ้น 2,403 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาสแรกปี 2562 รับรู้รายได้เพียง 18 วัน โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6,390 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้จาก GLOW เต็มไตรมาส ขณะที่รายได้ของโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 13 ล้านบาท

เมื่อเทียบกับผลประกอบการไตรมาส 4/62 บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น 29 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 0.2% เนื่องจากโรงไฟฟ้า IPP ไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผน ทำให้มีรายได้จากค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment :AP) ที่เพิ่มขึ้น โดยมาจากโรงไฟฟ้าเก็คโค่วัน จำนวน 132 ล้านบาท ขณะที่โรงไฟฟ้า SPP มีรายได้จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง 764 ล้านบาท สาเหตุมาจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลงและมีลูกค้าหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงตามแผนงาน ส่วนโรงไฟฟ้า VSPP ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้การขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้า อิจิโนเซกิ 1 (ISP1) และการขายไฟฟ้าและน้ำเย็นของบริษัท ผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วม จำกัด (CHPP) ที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

ส่วนกำไรสุทธิไตรมาส 1/63 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/62 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 435 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 38% จากรายได้ค่าความพร้อมจ่าย (AP) ของโรงไฟฟ้าศรีราชาและโรงไฟฟ้าเก็คโค่วัน ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในไตรมาส 1/63 และกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้า SPP ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมถึงต้นทุนค่าบำรุงรักษาที่ปรับตัวลดลง เพราะไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงเครื่องจักรตามแผน ดังเช่นไตรมาส 4/62

นอกจากนี้ ต้นทุนทางการเงินมีการปรับตัวลดลงภายหลังการปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินตามแผนชำระเงินคืนกู้ยืมระยะสั้นในช่วงไตรมาส 4/62 และไตรมาสที่ 1/63 ที่ผ่านมา

“ภาพรวมบริษัท มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้บริษัทสามารถมีกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ในไตรมาส 1 ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมาจากค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้รอตัดบัญชีจากการปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 ว่าด้วยเรื่องรายได้จากสัญญาเช่าก็ตาม”

นายชวลิต กล่าว

นายชวลิต กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจและภาคธุรกิจในภาพรวม ทำให้บริษัทได้ทำการสำรวจและติดตามแผนการดำเนินงานของกลุ่มลูกค้าอย่างใกล้ชิด พบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงมีความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำในปริมาณที่ใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมา

ดังนั้น แผนการเดินเครื่องของบริษัทยังคงกำลังการผลิตไว้ได้ตามแผนเดิมที่วางไว้ ควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการเพื่อสร้างความมั่นคงในระบบการผลิตไฟฟ้าและสาธารณูปโภคให้ได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดทำแผนการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP) และมีการจัดเตรียมสถานที่ควบคุมพิเศษ (Safe House) ของพนักงานสายปฏิบัติงาน และการปฏิบัติงาน ณ สถานพักอาศัย (Work From Home) ของสายสนับสนุนการผลิต ซึ่งบริษัทยังคงใช้มาตรการอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าสถานการณ์แพร่ระบาดในประเทศจะคลี่คลายลง

สำหรับแผนดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทพร้อมเดินหน้าโครงสร้างองค์กรใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นมา ภายหลังการเข้าซื้อกิจการ GLOW ซึ่งได้เข้ามาเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัท GPSC (GPSC Group) ภายใต้การบริหารงานที่เป็นองค์กรเดียวกัน ก่อให้เกิดความแข็งแกร่งทางธุรกิจ โดยการจัดทำแผน Synergy ทั้งทางด้านประสิทธิภาพ ความพร้อมจ่าย และการสร้างความมั่นคงในระบบการจัดส่งไฟฟ้าและไอน้ำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ส่วนของแผนการจัดทำ Synergy ของทั้งสองบริษัท ในระหว่างปี 2562 – 2567 คาดว่าในปีนี้ จะเริ่มรับรู้มูลค่าการทำ Synergy ร่วมกันได้ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 400-500 ล้านบาท โดยมาจากการบริหารจัดการโรงไฟฟ้า และโครงข่ายร่วมกัน รวมถึงส่วนงานซ่อมบำรุง ที่จะมีการบริหารจัดการสัญญาซ่อมบำรุงระยะยาวให้เกิดประสิทธิภาพ สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ และยังมีส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพในแผนการจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารต้นทุนและลดต้นทุนสินค้าคงคลัง ในการจัดซื้อให้เกิดส่วนลดจากปริมาณที่มากขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน การประกันภัย การบริหารเงินทุนหมุนเวียน ที่นำไปสู่การบริหารองค์กรให้มีค่าใช้จ่ายที่ลดลง โดยมีเป้าหมายที่วางไว้ในปี 2567 จะรับรู้มูลค่าการดำเนินงานตามแผนดังกล่าว ประมาณ 1,600 ล้านบาท

“แม้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดมากนัก แต่มีการประเมินว่าโควิด-19 อาจจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ส่งผลให้เกิดการชะลอตัว บริษัทจึงต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์ต่างๆ ในไตรมาส 2 อย่างใกล้ชิด”

นายชวลิตกล่าว

สำหรับแผนการเดินหน้าพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าและไอน้ำต่าง ๆ ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องในทุกโครงการ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้านวนคร ส่วนขยาย (NNEG Expansion) กำลังการผลิตตามสัดส่วน 18 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/63 และโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ กำลังการผลิต 9.8 เมกะวัตต์ มีแผนจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไตรมาส 2/64 โครงการโรงไฟฟ้า Energy Recovery Unit (ERU) โดยนำกากน้ำมันที่เหลือจากกระบวนการกลั่นมาใช้เป็นเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้า ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า 250 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 175 ตันต่อชั่วโมง ที่มีความคืบหน้าทั้งในด้านการออกแบบวิศวกรรมและงานก่อสร้างฐานราก แม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อยู่บ้าง แต่บริษัทคาดว่าจะสามารถบริหารจัดการให้โครงการแล้วเสร็จตามแผนงานที่วางไว้ สามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2566

โดยสำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 พ.ค. 63)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top