‘เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้’ ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 100 ล้านหุ้น เข้าตลาดหุ้นไทย

บมจ. เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้ (JR) ยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 100 ล้านหุ้น แบ่งเป็นเสนอขายต่อประชาชน จำนวน 92 ล้านหุ้น และอีก 8 ล้านหุ้น เสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ ซึ่งจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

โดยบริษัทฯมีความประสงค์จะขอเข้าเจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีบล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายในครั้งนี้

บริษัท ประกอบธุรกิจให้บริการออกแบบ จัดหา ก่อสร้างและติดตั้งงานระบบไฟฟ้า (Electrical Power System) และระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ (Telecommunication and Information Technology System) แบบครบวงจร นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้บริการจำหน่ายอุปกรณ์ (Supply) และให้บริการบำรุงรักษา (Maintenance) สำหรับอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าและระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ

บริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจภายใต้แผนงานของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจจากแผนแม่บทโครงการเปลี่ยนระบบสายอากาศเป็นสายใต้ดิน ปี 2551-2565 รวมทั้งแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อรองรับการเป็นมหานครแห่งอาเซียน ซึ่งการดำเนินโครงการเหล่านี้จำเป็นต้องมีการประสานกับหลายหน่วยงานของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการและลดปัญหาการจราจร เช่น งานด้านสายเคเบิ้ลสื่อสาร โครงการรถไฟฟ้า เป็นต้น

จากการที่บริษัทฯ มีความพร้อมในการให้บริการออกแบบ จัดหา ก่อสร้างและติดตั้งแบบครบวงจรทั้งงานด้านระบบไฟฟ้า และระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่งผลทำให้บริษัทฯ ได้รับงานที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น งานติดตั้งอุปกรณ์เพื่อใช้ในโครงการรถไฟฟ้า งานรื้อย้ายระบบสื่อสารโทรคมนาคม รวมทั้งงานออกแบบ พร้อมทั้งงานย้ายสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน

ผลดำเนินงานของบริษัทฯในปี 62 มีสินทรัพย์รวม 835.54 ล้านบาท หนี้สินรวม 526.42 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 309.12 ล้านบาท รายได้รวม 848.90 ล้านบาท ต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวม 772.66 ล้านบาท กำไรสุทธิ 60.75 ล้านบาท

บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 967.30 ล้านบาทในปี 60 จำนวน 934.17 ล้านบาทในปี 61 และ จำนวน 848.90 ล้านบาทในปี 62 รายได้หลักประกอบไปด้วยรายได้จากการให้บริการ และรายได้จากการขาย โดย (1) รายได้จากการบริการของบริษัทฯ ประกอบด้วยรายได้จากธุรกิจรับเหมาวางระบบไฟฟ้า และระบบสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ และรายได้จากการให้บริการซ่อมบำรุงรักษา

โดยในปี 60-62 บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการรวมทั้งสิ้น 597.75 ล้านบาท 825.23 ล้านบาท และ 540.92 ล้านบาทตามลำดับ ปี 60-62 รายได้จากธุรกิจรับเหมาวางระบบไฟฟ้ามีจำนวน 410.88 ล้านบาท 200.90 ล้านบาท และ 250.05 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากธุรกิจรับเหมาวางระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศมีจำนวน 157.57 ล้านบาท 603.00 ล้านบาท และ 281.99 ล้านบาท สำหรับรายได้จากการให้บริการซ่อมบำรุงมีจำนวน 29.29 ล้านบาท 21.33 ล้านบาท และ 8.87 ล้านบาท

(2) บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและสัดส่วนต่อรายได้จากการขายและให้บริการเป็นจำนวน 349.32 ล้านบาทหรือร้อยละ 36.88 ในปี 60 จำนวน 98.24 ล้านบาทหรือร้อยละ 10.64 ในปี 61 และจำนวน 305.47 ล้านบาทหรือร้อยละ 36.09 ในปี 62 ด้วยความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ทำให้บริษัทฯ ได้รับงานรับเหมาโครงการที่เกี่ยวข้องกับงานระบบไฟฟ้า และระบบสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทยังมีรายได้อื่นเช่น ดอกเบี้ยรับ กำไรขาดทุนจากการจำหน่ายทรัพย์สิน รายได้ค่าขายซาก รายได้คืนค่าปรับ เป็นต้น โดยในปี 60-62 บริษัทฯ มีรายได้อื่น 20.54 ล้านบาท จำนวน 10.69 ล้านบาท และจำนวน 2.51 ล้านบาท ตามลำดับ

ในปี 60-62 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 41.25 ล้านบาท, 82.93 ล้านบาท และ 60.75 ล้านบาทตามลำดับ โดยในปี 61 รายได้ของบริษัทฯ ลดลง ร้อยละ 3.45 จากปี 60 แต่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 11.95 เป็นร้อยละ 17.99 ในขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริการต่อรายได้จากการขายและบริการ และค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมค่อนข้างคงที่ ส่งผลทำให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น

สำหรับปี 62 บริษัทฯ มีรายได้ลดลงร้อยละ 9.13 ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อย เป็นร้อยละ 17.49 รวมทั้งอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริการต่อรายได้จากการขายและบริการ และค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวม เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิลดลงจากร้อยละ 8.88 เป็นร้อยละ 7.16

ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการเพิ่มทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและขยายกิจการ โดยเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 380 ล้านบาท และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 280 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 280 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 380 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 380 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท

ณ วันที่ 1 เม.ย.63 ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทคือ กลุ่มวิวัฒน์เจษฎาวุฒิ นำโดย นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ถือหุ้น 84,695,700 หุ้น คิดเป็น 30.25% หลังเสนอขาย IPO จะถือหุ้น 22.29%, นางปรียาภรณ์ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ถือหุ้น 42,073,609 หุ้น คิดเป็น 15.03% หลังเสนอขาย IPO จะถือหุ้น 11.07%, นายธีรนนท์ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ถือหุ้น 36,785,979 หุ้น คิดเป็น 13.14% หลังเสนอขาย IPO จะถือหุ้น 9.68%

บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ในแต่ละปี ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 พ.ค. 63)

Tags: , , , , ,
Back to Top