BCP ปรับตัวรับมือโควิด ลดค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 20% ลด-เลื่อนการลงทุน 15%

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทประเมินสถานการณ์และเตรียมแนวทางการดำเนินงานเพื่อรองรับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกเป็นวงกว้างทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทปรับแผนการผลิต ลดค่าใช้จ่ายและเงินลงทุน ดังนี้

ด้านการผลิต โรงกลั่นได้มีการติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับการใช้กำลังการผลิตได้อย่างเหมาะสม และได้ปรับลดการผลิตลงเพื่อให้สอดคล้องต่อความต้องการในตลาดที่ลดลง คาดว่าในปีนี้กำลังการผลิตจะลดลงจากแผนประมาณ 20% อีกทั้งได้พิจารณาถึงการจัดหาผลิดภัณฑ์จากภายนอกเพื่อนำมาขายแทนการผลิตเองบางส่วน ในกรณีที่สามารถทำกำไรได้มากกว่า รวมถึงได้มีการพิจารณาการจัดหาน้ำมันดิบทางเลือกเพิ่มเติมอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ได้พิจารณาปรับแผนการหยุดซ่อมบำรุงประจำปี (TAM) โดยหยุดซ่อมหน่วยกลั่นที่ 2 ในระหว่างที่ใช้กำลังการผลิตลดลง และเลื่อนการหยุดซ่อมบำรุงประจำปี (TAM) ในส่วนอื่นๆ ตามแผนเดิมที่จะดำเนินการในไตรมาส 3 ของปีนี้ ออกไปเป็นปีหน้า เนื่องจากการซ่อมบำรุงจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศและผู้รับเหมาเป็นจำนวนมากเข้ามาดำเนินงานทำให้อาจเกิดความเสี่ยงด้านการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกทั้งเป็นการใช้ประโยชน์ตัวเร่งปฏิกิริยาและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดจากการใช้กำลังการผลิตที่ลดลงในปีนี้ และเป็นส่วนหนึ่งในการลดค่าใช้จ่ายเพื่อบริหารกระแสเงินสดอีกด้วย

ด้านการจำหน่าย บริษัทประเมินว่าปริมาณการจำหน่ายของธุรกิจการตลาดในปีนี้จะปรับตัวลดลงประมาณ 20-25% โดยเฉพาะการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซล และน้ำมันอากาศยาน ทางบริษัได้มีมาตรการในการกระตุ้นยอดขาย โดยการจัดโปรโมชั่นผ่านทาง Loyalty program รวมถึงร่วมมือกับพันธมิตร ส่วนทางด้านธุรกิจ Non-oil เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดส่งผลให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการสถานีรวมไปถึงร้านกาแฟอินทนิลลดลง ก็ได้มีการปรับตัวต่อสถานการณ์โดยเน้นไปที่การขายผลิตภัณฑ์ผ่านทาง Delivery มากขึ้น ในส่วนของการขยายสาขาของสถานีบริการและธุรกิจ Non-Oil ยังคงดำเนินการตามแผน แต่อาจมีการชะลอการลงทุนบางส่วนด้วยภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัว

ด้านสถานะการเงิน บริษัทเตรียมความพร้อมตั้งแต่ก่อนเกิดสถานการณ์ โดยได้ทบทวนและปรับแผนการใช้จ่ายดำเนินงาน (OPEX) และค่าใช้จ่ายลงทุน (CAPEX) ในโครงการต่าง ๆ ตามแผนธุรกิจของปี 63 โดยให้มีการปรับลดหรือชะลอ รวมถึงเลื่อนการลงทุนในโครงการที่ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน แต่ต้องไม่กระทบกับการดำเนินธุรกิจหลักและต้องปฏิบัติตามกฎหมายและคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก โดยสามารถปรับลด OPEX ได้ 20% และลดและเลื่อน CAPEX ได้ 15%

สำหรับการบริหารสภาพคล่องทางการเงิน บริษัทได้มีมาตรการในการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ ติดตามดูแลและจัดเก็บหนี้ของลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้เพียงพอสำหรับการดำเนินงาน ตลอดจนบริหารจัดการชำระหนี้ได้ตามกำหนด ทั้งนี้ได้มีการจัดหาแหล่งเงินทุนทั้งวงเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรองรับในกรณีที่มีความต้องการใช้ ล่าสุดบริษัทประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้มูลค่า 8,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งเพื่อนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในปีนี้ และสำรองส่วนหนึ่งเพื่อการบริหารการเงิน

นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งคณะทำงาน Innovation Continuity Task Force ระดมความคิดจากพนักงานในการต่อยอดธุรกิจเดิมหรือสรรหาแนวการทำธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเป็นการหารายได้ทดแทนและรองรับการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่จะเปลี่ยนแปลงไปหลังจากวิกฤตโควิด-19

นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/63 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการรวม 43,070 ล้านบาท ลดลง 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ติดลบ 2,546 ล้านบาท ลดลง 205% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 230% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี Inventory Loss 3,434 ล้านบาท รวมขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV) 1,689 ล้านบาท

นอกจากนี้ด้วยสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงอย่างมาก ทำให้มีการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำนวน 1,366 ล้านบาท ส่งผลให้ไตรมาสนี้มีขาดทุนสุทธิรวม 4,316 ล้านบาท โดยเป็นขาดทุนสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 4,661 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 3.49 บาท

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก เป็นเหตุให้อุปสงค์น้ำมันเชื้อเพลิงทั่วโลกลดลง มีผลต่อราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตร ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องลดการผลิตน้ำมันได้ กดดันราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลงอย่างรุนแรงในช่วงปลายไตรมาส ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยไตรมาส 1/63 อยู่ที่ 50.41 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 11.63 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หรือลดลงเกือบ 20% จากไตรมาสก่อนหน้า

สำหรับผลการดำเนินงานในแต่ละกลุ่มธุรกิจ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA ติดลบ 2,590 ล้านบาท มีค่าการกลั่นพื้นฐาน 2.87 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ค่าการกลั่นยังอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบอ้างอิงในผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมากจากความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกลดลงอย่างรุนแรง จากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ประกอบกับความต้องการใช้น้ำมันในประเทศที่ลดลง ทำให้โรงกลั่นต้องปรับลดกำลังการผลิตมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยมีอัตราการผลิตเฉลี่ย 104,300 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 87% ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น

และจากการที่ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงอย่างมากในไตรมาสนี้ ธุรกิจโรงกลั่นมี Inventory Loss 2,774 ล้านบาท (รวมขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV)) ทำให้ธุรกิจโรงกลั่นมีผลการดำเนินงานปรับลดลงค่อนข้างมาก

กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA จากการดำเนินงาน 672 ล้านบาท แต่เนื่องจากมี Inventory Loss จำนวน 591 ล้านบาท ทำให้มี EBITDA 81 ล้านบาท โดยปริมาณการจำหน่ายรวมของธุรกิจการตลาดลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและลดลง 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่ลดลงจากการจำหน่ายน้ำมันผ่านตลาดอุตสาหกรรม เนื่องจากสภาวะการแข่งขันในตลาดอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างสูง และในช่วงไตรมาส 4 เป็นช่วง High Season ของการใช้น้ำมัน อีกทั้งในช่วงปลายไตรมาส 1 ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง

อย่างไรก็ดี ในไตรมาสแรกของปี 63 นี้ บริษัท ได้มีการจำหน่ายน้ำมันดีเซล B10 ในสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศและได้จัดกิจกรรมการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ในคุณภาพน้ำมันดีเซล B10 อย่างต่อเนื่อง โดยส่วนแบ่งการตลาดสะสมเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2563 อยู่ที่ 15.9% ตามข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงาน อีกทั้งมีการขยายจำนวนสถานีบริการควบคู่ไปกับการพัฒนาและขยายธุรกิจ Non-Oil โดยมีจำนวนสถานีบริการน้ำมัน ณ สิ้นไตรมาส 1/63 ทั้งสิ้น 1,204 สาขา ทั้งนี้ ค่าการตลาดสุทธิปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลง ส่งผลให้บริษัทสามารถกำหนดราคาขายปลีกหน้าสถานีบริการได้เหมาะสมกับต้นทุนผลิตภัณฑ์

ในส่วนของธุรกิจ Non-oil ยังคงพัฒนาและขยายธุรกิจร้านกาแฟอินทนิลอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสนี้ร้านกาแฟอินทนิล มีจำนวน 610 สาขา โดยเปิดเพิ่ม 19 สาขา ในทำเลที่มีศักยภาพทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมัน ขณะที่ธุรกิจปรับตัวต่อสถานการณ์โดยเน้นไปที่การขายผลิตภัณฑ์ผ่านทางการจัดส่งมากขึ้น สนับสนุนให้ลูกค้าสั่งสินค้าผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ หรือใช้บริการ SPAR ส่งตรงจากสาขาถึงบ้าน ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้มีรายได้ลดลง 8% ขณะที่ EBITDA ปรับเพิ่มขึ้น 71% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง

กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า มี EBITDA 770 ล้านบาท ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในประเทศลาว ในโครงการ “Nam San 3A” เมื่อเดือนกันยายน 2562 และโครงการ “Nam San 3B” ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 45 เมกะวัตต์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 รวมทั้งการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศไทย “ลมลิกอร์”

กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มี EBITDA รวม 510 ล้านบาท เพิ่มขี้น 36% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 162% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2562 โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซล ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น คิดเป็น 95% เมื่อเทียบกับปี 2562 และ 61% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว จากราคาขายผลิตภัณฑ์ B100 ที่ปรับขึ้นค่อนข้างมาก ตามมาตรการต่างๆ ของภาครัฐในการส่งเสริมการใช้ B100 ในภาคพลังงาน ด้านธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล มีรายได้ลดลงจากปริมาณการจำหน่ายที่ลดลงเมื่อเทียบกับทั้งปีก่อนหน้าและไตรมาสก่อนหน้า

กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มี EBITDA ขาดทุน 1,227 ล้านบาท ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลงอย่างมาก จากภาวะอุปทานล้นตลาดและอุปสงค์ที่ลดลงจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 โดยมีการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม OKEA เนื่องจากราคาน้ำมันและราคาก๊าซธรรมชาติปรับลดลง ส่งผลให้ OKEA มีรายได้ลดลง อีกทั้งมีการตั้งด้อยค่า Technical Goodwill และ Ordinary Goodwill และมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการแปลงค่าเงินกู้ยืมสกุลต่างประเทศ เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินโครนนอร์เวย์เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของ Nido Petroleum Pty. Ltd. 1,366 ล้านบาท ทำให้ผลการดำเนินงานปรับลดลงค่อนข้างมาก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 พ.ค. 63)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top