สธ.เตรียมนำผลประเมินคลายล็อกร้านเสริมสวย-รับฝากสัตว์เสนอ ศบค.ก่อนเปิดเฟสถัดไป

นพ.ดนัย ธีวันดา รองธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า หลังการผ่อนปรน 6 กิจการ พบว่าผลการดำเนินงานของกิจการเหล่านี้เป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง โดยวันนี้มีข้อมูลของ 2 กิจการ คือกิจการร้านเสริมสวย แต่งผม ตัดม และกิจการที่เกี่ยวข้องกับสปา อาบน้ำ ตัดขน รับเลี้ยงหรือรับฝากสัตว์ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ

พบว่า ในส่วนของกิจการร้านเสริมสวย แต่งผม ตัดผมที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานมีอยู่ 63.08%, ที่ผ่านเกณฑ์ดีเยี่ยม มีอยู่ 27.18% และ ผ่านเกณฑ์พื้นฐาน มีอยู่ 9.74%

โดยมาตรการ 3 อันดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ได้แก่ การบันทึกรายชื่อ เบอร์โทรศัพท์ วันที่ เวลาของผู้ที่มารับบริการทุกราย มีอยู่ประมาณ 43.08%, จุดคัดกรองพนักงานหรือผู้ให้บริการและผู้รับบริการ 30.26%, ผู้ให้บริการสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยหรือแผ่นใสครอบหน้า (Face Shield) และให้มีผ้ากันเปื้อน/เสื้อคลุมที่สะอาดตลอดเวลาที่อยู่ในร้าน 15.38%

“มาตรการที่ไม่ผ่านเกณฑ์ของ 2 กลุ่มกิจการ อาจจะเป็นสาระสำคัญที่จะต้องมีการสืบสวนในระยะหลังถ้าหากเกิดปัญหา…แต่ถ้าไม่มีปัญหาประเด็นนี้ก็คงไม่ได้เป็นตัวหลักในการที่จะทำให้การประกอบกิจการเหล่านี้จะต้องพับไป…แต่โดยรวมเรื่องของสุขอนามัยผ่านเกณฑ์ค่อนข้างดี”

ขณะที่กิจการที่เกี่ยวข้องกับสปา อาบน้ำ ตัดขน รันเลี้ยงหรือรับฝากสัตว์ ไม่ผ่านเกณฑ์ 53% ผ่านเกณฑ์ดีเยี่ยม 40% และผ่านเกณฑ์พื้นฐาน 7% โดยมาตรการ 3 อันดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน พบว่า 25.97% คือเรื่องการคัดกรองพนักงาน/ผู้ให้บริการ/ผู้รับบริการ, 16.88% สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ใส่ Face Shield สวมถุงมือยาง หมวกคลุมผม และผ้ากันเปื้อนที่สะอาดทุกครั้งที่ให้บริการ, 16.88% จัดที่ยืนสำหรับลูกค้าที่รอชำระเงินโดยเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร

“โดยรวมทั้ง 2 กิจการเป็นความร่วมมือที่ดีและหวังว่าในส่วนที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานจะได้รับความร่วมมือที่ดีจากผู้ให้บริการและผู้รับบริการเป็นอย่างดี โดยเฉพาะร้านเสริมสวย ตัดผมของสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี อาจจะมีผลต่อการอนุญาตให้เปิดกิจกรรมต่างๆ เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการตัด สระ ไดร์ในลำดับถัดไป ซึ่งข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะถูกนำเสนอให้ทาง ศบค.พิจารณาในลำดับต่อไป”

นพ.ดนัย กล่าว

ด้านนพ.อนุพงศ์ สุจริยากล ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์ในวันนี้ที่ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ และไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นว่า ถึงจะเป็นข่าวดีแต่ก็อย่าตั้งอยู่ในความประมาท เบาใจได้แต่อย่าวางใจทีเดียว เพราะเรากำลังเดินหน้ามาตรการผ่อนปรน ซึ่งจากการติดตามประเมินธุรกิจสีขาวที่ได้รับการผ่อนปรนไปในระยะแรก พบว่ามีทั้งที่ผ่านเกณฑ์และมีบางส่วนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ ซึ่งถ้าเราเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่มีผู้ป่วยหรือมีน้อยมากก็จะเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะผ่อนปรนระยะที่ 2 หรือธุรกิจสีเขียวได้เพิ่มเติม

“ขอทุกคนการ์ดอย่าตก เพราะโรคโควิด-19 เป็นโรคทางเดินหายใจ เป็นโรคใหม่ที่ค่อนข้างแปลกกว่าโรคทางเดินหายใจตัวเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นเมอร์สโคโรนาไวรัส ซาร์สโคโรนาไวรัส ที่เราเคยเจอ เพราะสามารถแพร่โรคได้ทั้งที่คนๆ นั้นยังไม่มีอาการ ทำให้คนรอบข้างไม่รู้ว่าคนๆ นั้นมีเชื้อโรคอยู่ในตัวแล้ว สามารถแพร่โรคให้คนอื่นๆ ได้ เพราะฉะนั้นการใส่หน้ากากอนามัยเวลาออกนอกบ้านเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ การล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคลเมื่ออยู่ในที่ชุมชน” นพ.อนุพงศ์ กล่าว

ส่วนกรณีที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนกลับมาระบาดซ้ำอีกรอบ นพ.อนุพงศ์ กล่าวว่า ในช่วงเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา ประเทศจีนมีการนำเข้าโรคโควิด-19 จากนอกประเทศและตามชายแดน ตั้งแต่ชายแดนที่ติดกับรัสเซีย นอกจากนี้เมืองซูหลาน ในมณฑลจี้หลินซึ่งอยู่ติดกับเกาหลีเหนือ ซึ่งแม้จะเกาหลีเหนือจะไม่มีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 แต่ก็มีข่าวว่าประธานาธิบดีสี จิ้น ผิงได้ให้ข้อเสนอต่อเกาหลีเหนือว่าจีนพร้อมให้ความช่วยเหลือ แสดงว่ามีการระบาดบริเวณชายแดนของเกาหลีเหนือ ขณะที่การระบาดรอบ 2 ที่อู่ฮั่น เป็นการระบาดภายในและอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค หลังตรวจพบว่าสถานที่เกิดผู้ป่วยมีผู้สูงอายุเป็นจำนวนมาก และนำไปสู่การปูพรมตรวจอย่างมาก เพื่อทำให้จบภายใน 10 วัน

นพ.อนุพงศ์ กล่าวว่า สถานการณ์แบบนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในทุกประเทศที่มีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ สำคัญที่สุดคือทำอย่างไรให้การ์ดไม่ตก กรณีของไทย อันดับแรกที่เรายังแข็งแรงคือการสกัดกั้นการนำเชื้อมาจากต่างประเทศ คือไม่ให้มีการเดินทางทางอากาศ มีด่านบกที่มีชายแดนติดกับมาเลเซีย มีมาตรการ State Quarantines Local Quarantines ทุกคนที่เข้ามาต้องแจ้งกระทรวงต่างประเทศ ถ้าหลบหนีเข้ามาก็ต้องเข้า State Quarantines และ Local Quarantines ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ขณะที่การเกิดภายในประเทศก็ต้องอาศัยประชาชนในการให้ความร่วมมือใน 3 เรื่อง คือใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

“ยิ่งเราผ่อนคลายในกิจการบางอย่างที่เคยปิดและกำลังจะเข้าสู่การผ่อนคลายระยะที่ 2 จนเปิดได้หมดทุกประเภทกิจการ ขอให้ประชาชน เจ้าของกิจการให้ความร่วมมือดีอย่างเข้มข้น เพื่อจะได้ปลอดภัยไม่กลับมามีการระบาดรอบที่ 2 อาจจะไม่ถึงกับไม่มีผู้ป่วยเลย แต่ควรจะมีผู้ป่วยระดับน้อยๆ สามารถจัดการได้ ไม่ใช่ผู้ป่วยใหม่กระโดดขึ้นหลักสิบ หลักร้อย หลักพัน ซึ่งเราจะรับมือไม่ไหว”

นพ.อนุพงศ์ กล่าว

ส่วนเรื่องการเดินทางข้ามจังหวัด นพ.อนุพงศ์ กล่าวว่า อยู่ที่คำสั่งของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปค.) ระดับจังหวัดสามารถพิจารณาได้ว่าจะให้มีการตรวจเข้มคนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดอย่างไร เป็นเรื่องของกลไกจังหวัดในการตัดสินใจ เพราะบางจังหวัดก็ยังมีผู้ป่วยอยู่ มีการแพร่เชื้อสูง เมื่อมีการเดินทางไปจังหวัดที่มีการแพร่เชื้อต่ำ อาจจะทำให้เกิดการแพร่เชื้อ ก็ต้องขึ้นอยู่กับมาตรการของจังหวัดปลายทาง ซึ่งถ้ามีมาตรการเข้มอาจจะให้กักัตัว 14 วันในสถานที่ที่รัฐจัดให้ หรืออาจจะสั่งกักตัวที่บ้าน 14 วัน ขึ้นอยู่กับมาตรการของแต่ละจังหวัด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 พ.ค. 63)

Tags: , , , , , , , , ,
Back to Top