SCBEIC คาด กนง.คงดอกเบี้ยปีนี้ แต่อาจลดดอกเบี้ยอีกใน Q3 ถ้าส่งออก-บริโภคในปท.ไม่ฟื้น

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (Economic Intelligence Center) หรือ SCBEIC วิเคราะห์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ไว้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อรอดูผลของการผ่อนคลายมาตรการทางการเงินและมาตรการทางการคลังที่ได้ดำเนินไปค่อนข้างมาก โดยมติ 4 ต่อ 3 ของที่ประชุม กนง.วานนี้ที่ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสะท้อนได้ว่า คณะกรรมการบางส่วนมีความต้องการที่จะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อประเมินผลจากการผ่อนคลายนโยบายต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินไปค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ การจัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ การเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทย การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และมาตรการอัดฉีดทางการคลัง

โดย EIC ประเมินว่า หากการหดตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 มีแนวโน้มลดลง และภาพเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ตามสถานการณ์โควิด-19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างมีนัย และเริ่มมีการเปิดเมืองมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว กนง. น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในประวัติการณ์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ได้

สำหรับเศรษฐกิจต่างประเทศส่วนใหญ่ปรับหดตัวลงในไตรมาส 1 ปี 2563 จากผลของมาตรการปิดเมือง ทั้งนี้ EIC ประเมินว่า ในไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป หลังจากหลาย ๆ ประเทศได้ผ่อนคลายมาตรการลง จะทำให้เศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ โดยตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 1 ของหลาย ๆ ประเทศที่ออกมาล่าสุดนั้น ส่วนใหญ่ปรับหดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนก.พ. และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้างในเดือนมี.ค. ทำให้ภาครัฐของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกออกมาตรการควบคุมการเดินทางและกิจกรรมทางสังคม

EIC พบว่ามาตรการที่เข้มงวดขึ้นนี้ ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยประเทศที่มีมาตรการดูแลของภาครัฐที่เข้มงวดกว่าจะมีการหดตัวทางเศรษฐกิจไตรมาส 1 ในอัตราที่มากกว่า เนื่องจากมาตรการที่เข้มงวดนั้นส่งผลให้ทั้งภาคการผลิต ภาคบริการ และการค้าโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยพบว่าภาคบริการได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าภาคการผลิต สำหรับในไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป หลาย ๆ ประเทศน่าจะทำการผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองลงต่อเนื่องจากปัจจุบันที่เริ่มมีการผ่อนคลายไปบ้างแล้ว ทำให้ EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะทยอยกลับมาฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้

การดำเนินมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วงที่ผ่านมา ช่วยให้ภาวะการเงินไทยผ่อนคลายลงบ้างในบางมิติและการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ น่าจะทำให้ภาวะการเงินผ่อนคลายเพิ่มขึ้นได้ โดย EIC ประเมินว่ามาตรการของ ธปท. มาตรการด้านสินเชื่อ และมาตรการทางการคลังที่ได้ดำเนินไป มีส่วนช่วยทำให้ภาวะการเงินไทยในมิติต่าง ๆ ผ่อนคลายลงได้บ้าง ดังนี้

1. การระดมทุนของภาคธุรกิจผ่านตลาดสินเชื่อปรับตัวดีขึ้น แต่การระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนปรับลดลง โดยอัตราการขยายตัวของสินเชื่อภาคธุรกิจอยู่ที่ 3.3%YOY ในไตรมาสแรกของปี 2563 ปรับตัวขึ้นจาก -0.8% ในปี 2562 ซึ่งได้รับแรงสนันสนุนจากสินเชื่อของธุรกิจขนานใหญ่ที่ขยายตัวถึง 5.3% อย่างไรก็ดีสินเชื่อของธุรกิจ SMEs ยังคงหดตัวที่ -0.2 และการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ส่วนหนึ่งมาจากการลดการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน โดยปริมาณการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวในทุกลำดับความน่าเชื่อถือ (grade) โดยตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเมษายนของปี 2563 หุ้นกู้กลุ่ม (A-)-(AAA) กลุ่ม (BBB-)-(BBB+) และกลุ่ม Non-investment (ตั้งแต่ BB+ ลงไป) มีหุ้นกู้ออกใหม่ 107, 9.7 และ 1.3 พันล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 มีการออกหุ้นกู้แต่ละกลุ่มที่ 152, 33.7 และ 5.9 พันล้านบาท ตามลำดับ

2. มาตรฐานการให้สินเชื่อภาคธุรกิจตึงตัวขึ้นในอัตราที่ลดลง ขณะที่ความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น แต่ความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนลดลงอย่างมีนัย โดยจากรายงานผลการสำรวจภาวะและแนวโน้มสินเชื่อที่จัดทำโดย ธปท. ระบุว่า คาดการณ์มาตรฐานการให้สินเชื่อภาคธุรกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 มีแนวโน้มปรับตึงตัวขึ้นในอัตราที่ลดลง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อในช่วงที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มถดถอย แต่ก็ยังได้รับการสนันสนุนจากมาตรการของภาครัฐและ ธปท. ทำให้มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อไม่ตึงตัวขึ้นมากนัก นอกจากนี้ ผลสำรวจความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจยังระบุว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2020 ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่และ SMEs ต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นสำหรับเงินทุนหมุนเวียน แต่ความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนปรับลดลงอย่างมีนัย

3. ภาพรวมคุณภาพสินเชื่อด้อยลงนับจากสิ้นปีก่อน โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคและสินเชื่อธุรกิจ SMEs แต่การปรับเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ช่วยให้สัดส่วน NPL ปรับดีขึ้นในเดือนมีนาคม โดย NPL ของสินเชื่อรวมปรับสูงขึ้นจาก 2.98% เป็น 3.05% โดยเฉพาะสินเชื่ออุปโภคบริโภคและธุรกิจ SMEs ที่ NPL ปรับสูงขึ้นจาก 2.90% และ 4.63% เป็น 3.23% และ 4.81% ตามลำดับ นอกจากนี้สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (stage 2) ปรับสูงขึ้นจาก 2.79% เป็น 7.70% อย่างไรก็ดี การปรับเกณฑ์การจัดชั้นเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้สัดส่วน NPL และ stage 2 ปรับดีขึ้นในเดือนมีนาคมปี 2563

4. เงินบาทปรับอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับต้นปี แต่ยังคงอยู่ในระดับที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับการแข็งค่าสะสมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นับจากต้นปี ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 6.7% ดัชนีค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่งอ่อนค่าลง 4.6% อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับต้นปี 2557 ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและดัชนีเงินบาทยังคงแข็งค่าสูงขึ้น 12.1% และ 13.7% ตามลำดับสะท้อนได้ว่า เงินบาทที่อ่อนค่ามาในปีนี้ ยังไม่สามารถช่วยเรื่องความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออกสินค้าและบริการไทยมากนัก

5. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับลดลง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เริ่มฟื้นตัวขึ้นแต่ยังคงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 แต่ความเสี่ยงด้านเครดิตของภาคธุรกิจยังคงปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 1 ปี และ 10 ปี อยู่ที่ 0.52% และ 1.19% ปรับตัวลดลงจากต้นปี 64 bps และ 30 bps ตามลำดับ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องและมาตรการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทยของ ธปท. ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ด้านดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้นตามความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ปรับดีขึ้นหลังธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลกต่างผ่อนคลายนโยบายการเงินและอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ อย่างไรก็ดี credit spread ของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนยังคงปรับสูงขึ้นต่อเนื่องในทุก ๆ ระดับความน่าเชื่อถือ

อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีมีการหดตัวรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับครึ่งแรก ก็อาจมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมอีกได้ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้เป็นอย่างเร็ว โดยเครื่องมือนโยบายที่ กนง. สามารถนำมาใช้ได้คือ 1) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 25 bps เพื่อลดต้นทุนการระดมทุนและเพิ่มสภาพคล่องในระบบอย่างต่อเนื่อง หรือ 2) ปรับลดอัตราเงินนำส่งกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF fee) เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์สามารถส่งผ่านผลการลดอัตราเงินนำส่งไปยังครัวเรือนผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง เหมือนที่ได้ปรับลดไปเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา

“EIC มองว่า หากการส่งออกไทยยังหดตัวต่อเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา การบริโภคภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัว หรืออัตราการว่างงานยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง กนง. ก็อาจผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมได้อีก อย่างเร็วในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 นี้” บทวิเคราะห์ระบุ

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 พ.ค. 63)

Tags: , , , , ,
Back to Top