กำไรสุทธิ บจ. Q1/63 ลดลง 60.5% รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าหลักทรัพย์จดทะเบียนจำนวน 671 หลักทรัพย์ หรือคิดเป็น 97.25% จากทั้งหมด 690 หลักทรัพย์ (ไม่รวมหลักทรัพย์ที่ขอผ่อนผันส่งงบการเงินไตรมาส 1 ปี2563 กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG)

นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 พบว่าหลักทรัพย์ที่รายงานผลกำไรสุทธิมีจำนวน 470 หลักทรัพย์ คิดเป็น 70.0% ของหลักทรัพย์จดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2563 หลักทรัพย์จดทะเบียนมียอดขายรวม 2.68 ล้านล้านบาท ลดลง 4.3% โดยมีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core operating profit) 124,929 ล้านบาท ลดลง 52.6% และมีกำไรสุทธิ 98,524 ล้านบาท ลดลง 60.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ปัจจัยข้างต้นทำให้ดัชนีชี้วัดความสามารถการทำกำไรลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนในทางเดียวกัน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ลดลงจาก 22.2% เป็น 18.9% มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit margin) ลดลงจาก 9.4% เป็น 4.7% และมีอัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin) ลดลงจาก 8.9% เป็น 3.7%

“ในไตรมาส 1 ปี 2563 หลักทรัพย์จดทะเบียนไทยได้รับผลกระทบทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ โดยเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวต่อเนื่องจากปลายปี 2562 ทำให้เกิดปัญหาอุปทานน้ำมันล้นตลาดและเกิดสงครามราคาน้ำมันจากกลุ่มผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ ทำให้หลักทรัพย์ในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากขณะที่เศรษฐกิจไทยที่ซบเซา ทำให้การบริการจัดการยอดขายและต้นทุนการตลาดเป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยาก จึงกระทบต่อกำไรจากการดำเนินงานหลักและกำไรสุทธิให้ปรับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน”

นายแมนพงศ์ กล่าว

จากผลประกอบการที่อ่อนตัวลง บริษัทจดทะเบียนจึงมีการจัดหาสภาพคล่องสำรองมากขึ้น มีการใช้หนี้สินเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 1.53 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2563 สูงขึ้นจาก 1.27 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2562 หมวดธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานเติบโตได้ดี คือ หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่ได้ผลบวกทั้งด้านยอดขายและอัตรากำไรที่สูงขึ้น เช่น อาหารสด และปศุสัตว์ รวมถึงเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ซึ่งเติบโตจากสินเชื่อส่วนบุคคล และหมวดธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่ได้ผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบลดลง 1/2

ด้านผลการดำเนินงานของหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) มียอดขายรวม 42,132 ล้านบาท ลดลง 1.56% มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก 1,455 ล้านบาท ลดลง 27.5% และมีกำไรสุทธิ717 ล้านบาท ลดลง 58.58 % จากช่วงเดียวกันในปีก่อน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 พ.ค. 63)

Tags: , , , , ,
Back to Top