สธ.ปรับระบบบริการผู้ป่วยนอกวิถีใหม่ ปลอดภัยทั้งผู้รับ-ผู้ให้บริการ

นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยถึงระบบการดูแลผู้ป่วยนอกวิถีใหม่ (New normal OPD) ว่า ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีความจำเป็นต้องมีการปรับระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ โดยเฉพาะแผนกผู้ป่วยนอก (OPD) ที่มีผู้ป่วยมาใช้บริการมากที่สุด

กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์ร่วมกับภาคีเครือข่าย จึงได้พัฒนาระบบบริการผู้ป่วยนอกวิถีใหม่ เพื่อความปลอดภัยของผู้มารับบริการและบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน ลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอย และลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาค ได้รับบริการที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับภาวะความเจ็บป่วยที่แตกต่างกันในแต่ละราย

“มุ่งเน้นหลัก 3 ประการ 1.สรางความปลอดภัยให้ประชาชนที่มารับบริการที่ รพ. 2.ลดความแออัดใน รพ. และ 3.ลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม”

นพ.ณรงค์ ระบุ

ในส่วนความปลอดภัยลดโอกาสติดเชื้อของผู้มารับบริการและบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน จะมีการคัดกรองผู้ป่วยก่อนมาโรงพยาบาลผ่านแอปพลิเคชัน มีจุดคัดกรองที่โรงพยาบาล และจัดจุดบริการผู้ป่วยที่อาจติดเชื้อแยกจากผู้ป่วยอื่น เมื่อไปพบแพทย์ที่ห้องตรวจ จัดสถานที่/ที่นั่งให้มีการเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร มีจุดล้างมือ/ แอลกอฮอล์เจล ผู้รับบริการและเจ้าหน้าที่ต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลา ทำความสะอาดจุดเสี่ยงสัมผัสต่างๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวจับ เก้าอี้พักคอย ปุ่มลิฟต์ เครื่องวัดความดันโลหิตด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ฉากพลาสติก ฉากอะคริลิคป้องกันขณะให้บริการ ปรับโครงสร้างและระบบไหลเวียนอากาศให้ถ่ายเทตามมาตรฐานการควบคุมโรค แยกโซนบริการตามความเสี่ยงของผู้ป่วย และใช้ระบบลดการสัมผัสต่างๆ เช่น ประตูอัตโนมัติ การจ่ายเงินผ่าน QR code เป็นต้น

สำหรับการลดความแออัดและลดระยะเวลาการรอคอย โดยจำกัดจำนวนญาติ ไม่ควรเกิน 2 คน (หากไม่จำเป็น) การลงทะเบียน/ตรวจสอบสิทธิ์/นัดเวลาตรวจ online ก่อนมาโรงพยาบาล หรือผ่าน kiosk เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้ว มีระบบตรวจรักษาทางไกลสำหรับผู้ป่วยเก่าควบคุมโรคได้ดี การรับยาผ่านช่องทางด่วนในกรณีนัดที่ไม่ต้องพบแพทย์ การรับยาร้านยาใกล้บ้าน การส่งยาทางไปรษณีย์ การรับยาแบบ drive thru หรือ อสม.ส่งยาถึงบ้าน ขึ้นกับความพร้อมของแต่ละหน่วยบริการ ขณะนี้ ดำเนินการแล้วในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ และในโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนหลายแห่ง ซึ่งจะมีผลในการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพิ่มความสะดวกรวดเร็วแก่ผู้มารับบริการ

นพ.สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ กล่าวว่า สำหรับการแยกโซนบริการตามความเสี่ยง จะแบ่งเป็น คลินิกทั่วไปที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่ำ (สีเขียว) เช่น คลินิกโรคเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง คลินิกที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อสูง (สีแดง) เช่น คลินิกโรคทางเดินหายใจ และคลินิกผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย (สีเหลือง) เช่น คลินิกโรคมะเร็ง คลินิกปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ป่วยรับยากดภูมิคุ้มกัน ทุกโซนจัดการตามมาตรฐานการควบคุมโรค และจัดบริการที่แตกต่างกันตามสภาวะของผู้ป่วย

“จะต้องมีการจัดโซนนิ่งให้บริการที่แตกต่างกัน และมีมาตรการที่แตกต่างกัน…กลุ่มที่สามารถควบคุมโรคดี อาจไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลใกล้ชิดจากแพทย์ คนไข้ไม่จำเป็นต้องมา รพ.บ่อยๆ สามารถดูแลตัวเองได้ แต่กลุ่มสีแดง จำเป็นต้องติดตามอาการและการรักษาอย่างใกล้ชิด ซึ่งทำให้มีระบบการให้บริการต่างกัน…อาจจะไม่สามารถทำพร้อมกันหมดทุก รพ. ขึ้นกับศักยภาพของแต่ละ รพ.ที่ค่อยๆ ปรับไป”

นพ.สกานต์ ระบุ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มิ.ย. 63)

Tags: , , , , ,
Back to Top