กูรูเตือนระวัง ‘เจ็บตัว’ แนะเล่นเก็งระยะสั้นทองคำหลังกองทุนตุนเต็มพอร์ต

นายกสมาคมค้าทองคำ เตือนระวังเจ็บตัวลงทุนทองคำ เหตุราคาขายโดดจากราคาหน้าเหมืองไปมาก และกองทุนขนาดใหญ่เข้าซื้อสะสมเต็มพอร์ตแล้ว โดยแนะนำให้เก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น แม้ว่าทิศทางยังเป็นขาขึ้นแต่ราคาในประเทศก็ปรับขึ้นมามากจนทุบสถิติ 8 ปีไปแล้ว และคาดว่าปลายนี้คงยังไปไม่ถึงบาททองคำละ 30,000 บาท

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า สถานการณ์ราคาทองคำรูปพรรณในประเทศปรับขึ้นมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วง 8 ปีที่บาทละ 27,100 บาท เป็นผลมาจากการที่กองทุน SPDR เข้าซื้อต่อเนื่องมากตั้งแต่ช่วงต้นปีมากกว่า 300 ตันไปแล้ว ขณะเดียวกันมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรป โดยผู้นำสหภาพยุโรปบรรลุข้อตกลงในการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูวงเงิน 7.5 แสนล้านยูโรเพื่อเยียวยาผลกระทบเศรษฐกิจจากไวรัสโควิด-19

นอกจากนั้น เงินดอลลาร์ยังอ่อนค่าลง และมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เนื่องจากโครงการช่วยเหลือคนว่างงานจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ก.ค.นี้ คาดว่าหากมีการออกมาตรการใหม่ดังกล่าวจะมีวงเงินสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำในประเทศคงยังไม่ปรับตัวขึ้นไปสูงถึง 30,000 บาทภายในปีนี้แน่นอน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่ได้มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาหนุน อีกทั้งราคาขายทองคำหน้าเหมืองยังอยู่ที่แค่กว่า 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ราคาขายขึ้นมาสูงถึงกว่า 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ จึงแนะนำให้มีความระมัดระวังในการลงทุน โดยให้เก็งกำไรระยะสั้นมากกว่า

“ราคาทองคำของในประเทศทำสถิติสูงสุดใหม่ไปแล้ว แต่คาดการณ์ว่าราคาทองในประเทศปีนี้จะไม่ถึง 30,000 แน่นอน เว้นแต่ว่าจะมีปัจจัยที่กระทบแรงๆ เข้ามาเพิ่มเติม แนะนำให้ระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากราคาหน้าเหมืองอยู่ที่ราวๆ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ราคาในตลาดขึ้นไปมากกว่า 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์แล้ว ขณะที่กองทุนขนาดใหญ่ก็ซื้อสะสมไปจำนวนมากแล้ว หากมีแรงขายออกมาจะเจ็บกันหมด แนะนำให้ดูระยะสั้นที่ 28,000 บาท ก่อน ขณะที่ในแง่ของราคาสปอตดอลลาร์นั้นเคยทำสถิติสูงสุดไว้ที่ 1,927 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่ถึง”

นายจิตติ กล่าว

ด้านนายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ปรับขึ้นในครั้งนี้ได้รับแรงกระตุ้นจากการที่ธนาคารกลางยุโรปประกาศตั้งกองทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 7.5 แสนล้านยูโร ในขณะเดียวกันคาดว่าสหรัฐเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติม เนื่องจากโครงการช่วยเหลือคนว่างงานจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ก.ค. แสดงให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีผลกระทบค่อนข้างมากกับภาพรวมเศรษฐกิจโดยรวม

โดยทองคำถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ราคาจึงปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาจากความปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ แต่มองว่าราคาทองคำในประเทศไม่น่าจะปรับตัวสูงขึ้นไปถึงระดับ 30,000-40,000 บาท ในช่วงปลายปีนี้ แม้จะมองว่าช่วงที่เหลือของปีทิศทางราคาทองคำจะยังเป็นขาขึ้น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว

“เราไม่รู้ว่าความรุนแรงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังจากนี้จะมีมากน้อยเพียงใด จะเกิดระลอก 2 ระลอก 3 ขึ้นอีกหรือไม่ เราก็ไม่อาจจะทราบได้ แต่ปัจจุบันก็ควรจะมีความระมัดระวัง เนื่องจากตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาราคาทองขึ้นมากว่า 20% ถือว่ามากแล้ว โดยแนะนำให้นักลงทุนระยะสั้นติดตามรายใหญ่อย่าง SPDR ในทิศทางการซื้อและขายทองคำ”

นายธนรัชต์ กล่าว

ขณะที่นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ราคาทองคำในระยะสั้นมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปที่ระดับสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ 1,920 ดอลลาร์/ออนซ์ และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปถึง 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ได้ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐที่มีตัวเลขการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กระทบกับเศรษฐกิจทั่วโลก และกระทบไปยังทุกๆกลุ่มธุรกิจด้วย

ในขณะเดียวกันภาครัฐบาลในประเทศต่างๆได้ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน และอัดฉีดสภาพคล่องเข้ามาในระบบจำนวนมาก ขณะที่นักลงทุนยังไม่มีความเชื่อมั่นสถานการณ์เศรษฐกิจโลก นอกจากนี้จีนและสหรัฐยังคงมีความขัดแย้งด้านการค้าอยู่อย่างต่อเนื่องด้วย ส่งผลให้นักลงทุนนำเงินมาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำค่อนข้างมาก ซึ่งทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องค่อนข้างสูงด้วย

“เราแนะนำนักลงทุนว่าควรมีความระมัดระวังในการลงทุน เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นมามากแล้ว ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากสภาพคล่องที่มีทั่วโลก การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กระทบทั้งระบบ ไม่เหมือนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลายๆครั้งก่อนหน้านี้ ที่กระทบแต่สถาบันการเงิน แต่ครั้งนี้กระทบทั้งระบบเศรษฐกิจ ซึ่งหากมีวัคซีนโควิด-19 ก็ยังต้องใช้เวลาฟื้นเศรษฐกิจ และหากโควิด-19 ดีขึ้นก็ยังมีสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐที่ยังอยู่ จึงมองว่าหากราคาทองปรับลงคงไม่เร็วเหมือนหลายๆ ครั้งก่อนหน้านี้”

นางพวรรณ์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.ค. 63)

Tags: , , , , , ,
Back to Top